บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1856 จากพี่หญิงหยวนคิดไปจนถึงเจ๋อหลาน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1856 จากพี่หญิงหยวนคิดไปจนถึงเจ๋อหลาน
บทที่ 1856 จากพี่หญิงหยวนคิดไปจนถึงเจ๋อหลาน
หยู่เหวินเห้าได้ยินว่าเจ๋อหลานทำอาหารเช้าให้มู่หรูกงกงด้วยตัวเอง ก็อิจฉาจนน้ำลายไหลท่วม เขายังไม่เคยกินเกี๊ยวที่ลูกสาวตัวน้อยทำเลยสักครั้ง มู่หรูกงกงช่างโชคดีจริง ๆ
ปากก็พูดไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับมีความสุขอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้เป่ยถังซึ่งได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมยุคใหม่ มีความคิดที่เปิดกว้างขึ้นมาก ทั้งสามารถยอมรับคำว่าความเท่าเทียมกันของมนุษยชนได้อย่างถ่องแท้
เขาเปรียบเทียบตัวเองกับตำแหน่งประธานของกลุ่มบริษัทในยุคใหม่ มู่หรูก็เป็นเหมือนผู้ช่วยของเขา ที่คอยช่วยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้เขานั่นเอง
การที่ลูกชายลูกสาวจะทำอาหารให้กับผู้ช่วยสักมื้อ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มู่หรูยังเป็นพนักงานเกษียณที่ขอกลับมาทำงานใหม่ ยืนยันหนักแน่นที่จะรักษาความกระตือรือร้นในฐานะผู้ช่วย ทั้งยังมุ่งมั่นที่จะทำมันไปตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่น่านับถือมากจริง ๆ
ในที่สุด หยู่เหวินเห้าก็ได้กินเกี๊ยวที่ลูกสาวตัวน้อยของเขาทำจนได้
กุ้งสดห่อด้วยเนื้อสับ ใส่น้ำมันลงคลุกเคล้าในกระทะก่อน จากนั้นวางรอให้เย็นแล้วห่อด้วยแผ่นเกี๊ยว ค่อยต้มน้ำซุปด้วยกระดูกหมูและกระดูกส่วนหัวของปลาในอุณหภูมิสูง จะได้รสชาติที่อร่อยสดเข้าเนื้อ
ในระหว่างที่เจ้าห้าตื่นเต้นประหลาดใจ เขาก็พูดประโยคเดียวกับที่มูหรูกงกงเคยพูด ว่าในชีวิตนี้เขาไม่เคยกินเกี๊ยวหรืออาหารอะไรที่อร่อยขนาดมาก่อน
เมื่อเห็นภรรยากินอย่างมีความสุข สองแก้มแดงปลั่ง เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก็เอื้อมมือออกไปลูบที่แก้มของนาง “มีความสุขมากถูกหรือไม่? ได้กินเกี๊ยวที่ลูกสาวทำแล้ว”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างติดจะหยอกเย้าว่า “ตอนนี้มีความสุขมาก แต่ในอนาคตรอให้นางแต่งงานไป จะได้กินเกี๊ยวที่นางทำเองกับมือ ก็คงจะไม่ง่ายแล้ว แต่สามีในอนาคตของนางคงจะเป็นคนที่โชคดีมากเลยเชียวล่ะ”
เจ้าห้าส่งเสียงคำรามอย่างดุดัน “อย่าพูดถึงเรื่องนี้”
หัวใจของพ่อผู้แก่ชราคนนี้เปราะบางมาก ทนรับเรื่องหยอกเย้าลักษณะนี้ไม่ไหว
หยวนชิงหลิงทำให้เขาโกรธได้ ก็ปลอบใจเขาได้ “อย่าโกรธสิ ไม่แน่นะว่าบางทีสามีในอนาคตของนางอาจจะเป็นคนที่ทำอาหารให้นางกินก็ได้?”
เจ้าห้าส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอสองครั้ง สีหน้าค่อยดูดีขึ้นมานิดหน่อย
“อีกอย่าง เจ้าลองคิดดูนะว่า ลูกชายทั้งห้าคนของเรา ถ้าในอนาคตแต่งภรรยา เจ้าสาวที่แต่งมาต่างก็เป็นอัญมณีล้ำค่าในฝ่ามือของคนอื่นเขาด้วยเหมือนกัน…”
หยู่เหวินเห้าหาญกล้าขัดจังหวะคำพูดของภรรยาว่า “ดูที่เจ้าพูดสิ คนอื่นเขาทุกข์ใจ ก็สามารถเอามาชดเชยความทุกข์ใจยามเมื่อลูกสาวตัวเองต้องไกลห่างได้ด้วยหรือ?”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเฮือก เมื่อไหร่ที่พูดประเด็นนี้ เขาจะงุ่นง่านมากไม่เปลี่ยน
คิดว่าในโลกใบนี้นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ชายดี ๆ เหลืออยู่อีก
หยู่เหวินก็รู้สึกว่าเจ้าหยวนไม่เข้าใจ ว่ามันไม่ใช่เพราะในโลกนี้ไม่มีผู้ชายดี ๆ เหลืออยู่ แต่จะได้พบเจอหรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นด้วย
และจุดที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่มีทางยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ชายที่ในหัวไม่รู้จักคำว่ารักใคร่ทะนุถนอมพรรคนั้นอย่างแน่นอน
แต่จุดนี้เองที่เป็นสิ่งที่ยากเย็นเข็ญใจที่สุด เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ชายที่ตากหน้ามาสู่ขอลูกสาวด้วยท่าทีจริงใจ สบถสาบานว่าจะรักใคร่นางจะเกิดเปลี่ยนใจในอนาคตหรือไม่ หรือว่าจะเป็นพวกปากอย่างใจอย่างหรือไม่
เจ้าหยวนไม่เข้าใจผู้ชาย ทั้งยังไม่อาจนับได้ว่ารู้เรื่องความรัก เรื่องนี้จะโทษนางไม่ได้
เส้นทางความรักของเจ้าหยวนนั้นบริสุทธิ์เรียบง่ายมาก มีแค่เขาคนเดียว แต่ในราชสำนักมีคนตั้งเท่าไหร่ที่มีสามภรรยาสี่อนุ? ทั่วทั้งเป่ยถัง เมื่อไหร่ที่ใครคนหนึ่งมีเงินอยู่ในกระเป๋ามากหน่อย ใครบ้างจะไม่อยากรับอนุที่งดงามอ่อนเยาว์มาเลี้ยงดู?
ด้วยรู้แก่ใจว่ารับอนุไม่ได้เด็ดขาด มันเท่ากับเอาหัวเข้าไปเกี่ยวตะขอรอวันตายชัด ๆ
ส่วนฮ่องเต้จิ่งเทียนที่อยู่ทางโน้น จนวันนี้ก็ยังต้องพึ่งพาขุนนางจากราชวงศ์ก่อนอย่างมาก จึงขาดไม่ได้ที่จะต้องใช้กลอุบายที่ฮ่องเต้ในราชวงศ์เก่าก่อนทำมา เพื่อทำให้บัลลังก์มีเสถียรภาพผ่านการแต่งตั้งสนมนางในที่เป็นลูกหลานผู้มีอำนาจในราชสำนัก
ไม่ใช่ว่าเขาคิดมาก แต่หนทางของโลกใบนี้ไม่ได้เปิดเผยตรงไปตรงมาขนาดนั้น ไม่ใช่อะไรที่ได้เห็นเพียงครั้ง แล้วจะเชื่อได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปจนสุดทาง
เพราะคำพูดหยอกเย้าประโยคเดียวของเจ้าหยวน ทำให้เขาใจคอว้าวุ่นอารมณ์ไม่คงที่ ปัญหานี้ค้างคาอยู่ในใจเขามาโดยตลอด มันรบเร้าพัวพันตามการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ของลูกสาว ทำอย่างไรก็ไม่อาจกำจัดออกไปได้
หวังว่าลูกสาวจะเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย แต่กลับกลัวว่านางจะเติบโตเร็วจนเกินไป นี่คือการพรรณนาถึงอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าห้าในตอนนี้
หยวนชิงหลิงกอดเขาจากด้านหลัง “เจ้าห้า พวกลูก ๆ แต่ละคนมีโชควาสนาในตัวของพวกเขาเอง เจ้าควรเชื่อในจุดนี้”
เหตุผลที่หยวนชิงหลิงมองโลกในแง่ดีกว่าเขาได้ เป็นเพราะนางเชื่อว่าลูกสาวมีนิสัยรักอิสระ รู้ผิดชอบชั่วดี หากลูกได้เจอคนผู้ชายชั่ว ๆ นางจะต้องหยุดยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายได้ทันการณ์ หันหลังกลับ แล้วจากไปได้ในทันที
อีกทั้งชะตาชีวิตของเจ๋อหลานนั้น ไม่จำเป็นต้องคาดหวังความโชคดีจากการแต่งงานกับคนดี ๆ หรอก นางจะต้องมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นเหนือใครอย่างแน่นอน และมันจะต้องเป็นไปตามการเลือกใช้ชีวิตของนางเองด้วย
“ถ้าผ่านไปอีกสองปี เจ๋อหลานก็จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว” หยู่เหวินเห้าดึงนางมาตรงหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “ผู้หญิงเป่ยถัง หลังพ้นวัยปักปิ่นตอนอายุสิบห้า พวกนางก็ต้องเริ่มคุยเรื่องหมั้นหมายตบแต่งแล้ว ต่อให้พวกเราในฐานะพ่อแม่ไม่ยินยอม ยื้อเวลาออกไปสักสองปี มันก็เป็นแค่เรื่องที่ยื้อไว้ได้อีกแค่สองหรือสามปีเท่านั้น จะอย่างไรสุดท้ายลูกสาวก็ต้องแต่งออกไปอยู่ดี”
“เจ้านี่นะ ยังมีความคิดแบบเดิมอีกแล้ว ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงาน แต่กลับคิดการณ์สำคัญในชีวิตของนางทุกขั้นทุกตอนไว้หมด” หยวนชิงหลิงจับมือเขา แล้วพูดอย่างจริงจังเช่นกันว่า “พวกเราไม่ต้องไปเคารพตามกฎเหล่านี้หรอก อะไรคืออายุสิบห้าก็ต้องคุยเรื่องหาเจ้าบ่าวมาแต่งงานแล้ว? ไม่คุย ให้ลูกหาผู้ชายที่ลูกชอบด้วยตัวเองเถอะ ถ้าลูกคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ลูกเราสามารถมอบความไว้วางใจให้ได้ตลอดชีวิต พวกเราก็จะสนับสนุนลูก ”
“แต่ถ้าอายุมากแล้วยังไม่แต่ง ข้าก็ไม่อยากให้นางถูกคนครหา” เมื่อเจ้าห้าเห็นว่านางขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก็รีบกอดนางทันที “เอาเถอะ ๆ ข้ารู้ว่าตัวเองคิดมากเกินไปอีกแล้ว เอาเป็นว่าข้าเชื่อฟังเจ้า ทุกอย่างล้วนเชื่อฟังเจ้า ดีหรือไม่?”
การที่วันนี้เขาคิดมากพิรี้พิไรแบบนี้ เพราะเมื่อสองวันก่อน เขาได้ยินเจ้าหกพูดถึงการเตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้พี่หญิงหยวนล่วงหน้า อย่างพวกที่ดินไร่นาบ้านเรือนร้านรวงอะไรทำนองนี้
พี่หญิงหยวนกับเสี่ยวกวาอายุพอ ๆ กัน เจ้าหกก็เริ่มเตรียมการณ์ให้พี่หญิงหยวนแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขาวิตกกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่า มีอะไรบางอย่างกำลังไล่ตามหลังเขามาอย่างไม่หยุดยั้ง