บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1858 ซาลาเปามองหาผู้มีความสามารถ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1858 ซาลาเปามองหาผู้มีความสามารถ
ซาลาเปาเคยใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความรู้หรือมุมมอง ก็ล้วนแตกต่างจากคนทั่วไป ทำให้หลายคนชื่นชอบเขา
แต่เมื่อมีคนชอบ ก็ต้องมีบางคนที่ไม่ชอบ
เพราะเขาขาดความสง่างามของบัณฑิต บางครั้งท่าทางของเขาจึงปรากฏความ “หยาบคาย” บ้างเล็กน้อย
ความหยาบคายที่ว่า ก็เป็นเพราะความคุ้นชินในการใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวในกองทัพ ท่าทางของเขาตรงไปตรงมา คำพูดเด็ดขาดเฉียบคม พูดประโยคเดียวสามารถอธิบายได้เข้าใจชัดเจน ไม่มีการอ้อมค้อมอะไรทั้งสิ้น
ซาลาเปาได้รู้จักเพื่อนใหม่ อันที่จริงมันคือการไตร่ตรองไว้แล้ว
คนธรรมดาย่อมไม่ถกกันเรื่องราชสำนัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รู้อะไรมากมาย
แต่พวกบัณฑิตและนักวิชาการเหล่านี้ไม่เหมือนกัน เพื่อให้ตัวเองได้มีที่ยืนในการสอบเอินเคอ พวกเขาพร้อมจะจะปีนขึ้นไปจนสุดของยอดพีระมิด ทุกปัญหาที่ราชสำนักจะถามออกมา พวกเขาจะอ่านเข้าใจจนละเอียดเพื่อหาวิธีแก้โจทย์เหล่านั้นให้จงได้
นอกจากนี้ หลังจากอ่านเข้าใจละเอียดดีแล้ว ยังต้องไปรวบรวมฝูงชนเพื่อมาถกกันต่อ แล้วดูว่าความคิดเห็นของตนมันดีพอที่จะทำให้ทุกคนยอมรับได้แล้วหรือไม่ เพื่อจะให้มันเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง จนไปเข้าหูของใต้เท้ากรมการศึกษา
และได้รับความสนใจจากใต้เท้ากรมการศึกษา
ซาลาเปารู้ว่าเขาอายุไม่น้อยแล้ว ไม่สามารถอยู่ในกองทัพได้นานเกินไป ผ่านไปอีกสักพักเกรงว่าจะต้องกลับมาช่วยงานราชสำนักแล้ว
นักเรียนเหล่านี้มาจากทั่วทุกสารทิศ ผ่านการแลกเปลี่ยนสื่อสารกับพวกเขา ก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความคิดเห็นของพวกเขาที่มีต่อราชสำนัก
เพราะอย่างไรคนที่มาสอบถึงเมืองหลวงได้ ต้องไม่ใช่แค่นักเรียนธรรมดา ๆ อยู่แล้ว
หยู่เหวินเห้ารู้ดีว่า การที่เขาไปคลุกคลีกับนักเรียนกลุ่มนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมาก เพราะเขาก็สมควรต้องปลูกฝังคนของตัวเองด้วยเช่นกัน
ความคิดของคนหนุ่มสาว ค่อนข้างมีความล้ำสมัย สามารถทำลายทัศนคติเก่า ๆที่โบราณคร่ำครึ ช่วยกระตุ้นและผลักดันแนวทางแก้ไขที่ดีกว่าขึ้นมาได้
ซาลาเปาคือรัชทายาท เรื่องนี้แน่นอนอย่างไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย ตอนที่ขึ้นครองบัลลังก์ครั้งแรก เขาได้กราบไหว้บอกกล่าวต่อหน้าบรรพบุรุษ กำหนดแต่งตั้งชื่อนี้ไว้แล้ว
ตอนนี้ขาดแค่พิธีการราชาภิเษกแต่งตั้ง เพื่อประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้อย่างแท้จริงเท่านั้น
แต่ยังไม่ต้องรีบร้อนไป ทันทีที่พิธีการสวมมงกุฎรัชทายาทสิ้นสุดลง อย่างไรก็ต้องตัดสินใจเลือกพระชายารัชทายาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่แล้ว
แน่นอนว่าการเข้ามาช่วยงานในราชสำนักเป็นเรื่องสำคัญ แต่เขาคิดว่าการเปิดโลกทัศน์ก็สำคัญมากเช่นกัน ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้พบปะผู้คนมากมายในตอนนี้ ทำความเข้าใจต่อความทุกข์ยากลำบากของประชาชน จะเป็นประโยชน์ในการดำเนินนโยบายต่อไปในอนาคตของเขา
แต่ถึงแม้ว่าลูกชายจะมีความสามารถและความอดทน แต่เขากลัวว่าจะไม่มีทักษะในการเลือกคบคนที่มีความสามารถ จึงสั่งให้สวีอีไปสืบดูว่า เขามีการไปมาหาสู่กับคนประเภทใดบ้าง
ถ้าเรื่องสืบเสาะล่ะก็ สวีอีเก่งกาจเป็นที่หนึ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ติดตามฮ่องเต้มานานหลายปี ได้ทำงานสำคัญมาหลายอย่าง
หลังจากสืบเสาะไปได้สองวัน เขาก็กลับมารายงานฮ่องเต้ว่า “คนที่ได้ติดต่อไปมาหาสู่กับองค์ชายมีทั้งหมดสิบสามคน ในนั้นมีห้าคนที่มีการไปมาหาสู่บ่อยมาก กระหม่อมได้ตรวจสอบย้อนไปถึงบรรพบุรุษของพวกเขาถึงสามรุ่น ล้วนไม่มีปัญหาเรื่องสถานะ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง มีข้อพิพาทถกเถียงกับองค์ชายหลายครั้ง คนผู้นี้ชื่อโจวเม่า เป็นคนอำเภอสือเจียเมืองหวยเป่ย พ่อของเขาเป็นนายอำเภอประจำท้องที่ เป็นนักวิชาการทั้งสามรุ่น แต่มีเพียงพ่อของเขาเท่านั้นที่เชิดหน้าชูตากว่าใคร คนคนนี้ไม่ชอบองค์ชายอย่างมาก มักจะพูดจาหักหน้าองค์ชายต่อหน้าคนมากมาย หาว่าพระองค์เสแสร้ง ทั้งยังชอบแอบพูดถึงองค์ชายในทางไม่ดีกับพวกนักเรียนคนอื่น ๆ ลับหลังด้วย ”
“น่าสนใจ” หยู่เหวินเห้ายกยิ้มเล็กน้อย รู้สึกว่าคนคนนี้สามารถเอามาใช้ฝึกความอดทนได้เหมาะที่สุด ในการเดินทางของชีวิต ย่อมมีผู้คนมากมายที่เข้ามากีดขวางทางเดินให้ต้องสะดุด นี่จะทำให้เขาเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน
สวีอีเห็นว่าฝ่าบาทยังยิ้มได้อยู่ ก็อดที่จะพูดอย่างหดหู่ไม่ได้ว่า “เจ้าเด็กคนนี้น่าโมโหยิ่งนัก แม้แต่กระหม่อมก็ยังอยากจะต่อยเขาสักหลาย ๆ หมัด”
“เจ้านี่นะ ติดตามข้ามาก็นานหลายปีแล้ว ยังไม่รู้จักเรียนรู้ความอดทนอดกลั้นมาบ้างเลยรึ ? ”หยู่เหวินเห้ากลอกตามองบนใส่เขา
สวีอีพูดว่า “นี่ยังต้องอดทนด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ถ้าไม่ชอบก็แค่ต่อยไปเลยสักหมัด สู้ไม่ได้ค่อยหนี”
นี่คือเหตุผลที่ตั้งแต่ต้นจนจบ สวีอีไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับอื่นได้ เขาเป็นคนที่ทำอะไรเถรตรงเกินไป แต่โชคดีที่เขาพอใจและมีความสุขในสิ่งที่ตนมี หยู่เหวินเห้าสามารถเก็บคนแบบเขาไว้ข้างกายได้ ทั้งยังสบายใจได้ว่าเขาจะไม่คิดทรยศ
โจวเม่าคนนี้น่ารังเกียจจริง ๆ นั่นล่ะ ซาลาเปาเองบางครั้งก็แทบจะทนเขาไม่ได้เหมือนกัน
ทุกครั้งที่รวมตัวกัน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ลูกอีช่างค้านคนนี้เป็นต้องพูดจิกกัดเขาขึ้นมาสักประโยค ถึงจะพอใจ
วันนี้เขานำภาพวาดผืนหนึ่งที่เขาทำขึ้นมาแสดงให้ทุกคนดู ม้วนภาพเพิ่งจะเปิดออก ยังไม่ทันเห็นภาพทั้งหมดด้วยซ้ำ โจวเม่าก็ชิงพูดอย่างเย็นชาขึ้นมาว่า “ก็แค่รูปธรรมดาสามัญรูปหนึ่ง ก็กล้าเอาออกมาอวดแล้วรึ? เทียบกับข้าไม่ได้แม้แต่ปลายก้อยด้วยซ้ำ”
ซาลาเปาหลุดยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ขอเชิญพี่โจววาดรูปสักผืน แล้วนำมาเปรียบเทียบกันกับของข้าสักหน่อยเป็นอย่างไร?”
โจวเม่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เด็กน้อยขนาดไหน? ทำไมข้าต้องเปรียบเทียบกับเจ้าด้วย? ถ้าเจ้าทนฟังความคิดเห็นของคนอื่นไม่ได้ ก็อย่าเอาผลงานของตัวเองมาโอ้อวดคนอื่นง่าย ๆ แบบนี้”
อันที่จริง ทุกคนต่างก็ค่อนข้างรังเกียจโจวเม่ากันทั้งนั้น เขาไม่ได้ไร้ความสามารถ แต่ปากของเขามันน่ารังเกียจเกินทนจริงๆ
แต่ทุกคนก็รู้ว่าโจวเม่าจะพูดอะไรต่อไป ผลเป็นไปดังคาด เขายักไหล่ ยกมุมปากเป็นเชิงเยาะเย้ย “คำพูดที่เป็นความจริงมักไม่เข้าหูเสมอ ทนฟังไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
จากนั้น ภายใต้คำพูดเสียดสีของทุกคน เหมือนเสียงเอะอะอื้ออึงนับหมื่นนับพัน เขาก็หยิบพู่กันขึ้นมาสะบัดปัดป่ายไม่กี่ครั้ง ภาพวาดขุนเขาสายธารอันงดงามที่อยู่ห่างไกล ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคน
แม้ว่าทุกคนจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าภาพนี้ดีกว่าของเปาเอ๋อจริง ๆ แต่เปาเอ๋อกลับแค่ยกยิ้มเล็กน้อย โจวเม่าคนนี้ ฝีมือไม่เลว
จากนั้นก็เห็นโจวเม่าทิ้งพู่กันในมือลง ยกชายแขนเสื้อขึ้น แล้วเดินจากไปอย่างสง่างามภายใต้สายตาอันตกตะลึงอึ้งค้างของทุกคน