บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1859 เจ้าตาทับทิมหายไปแล้ว
ซาลาเปาถูกใจโจวเม่าคนนี้แล้ว
จากการโต้วาทีครั้งแรกในงานชุมนุม เขาก็ตกหลุมรักเจ้าหนูปากสารพัดพิษคนนี้เข้าอย่างจัง
ส่วนที่ว่าตกหลุมรักเขา เป็นเพราะเขาสามารถพูดวิเคราะห์ได้อย่างมีวิจารณญาณจริง ๆ แต่ก็เกลียดเขาด้วย เพราะปากของเขาเป็นมะนาวที่ไม่มีน้ำเลยสักนิด จะคำพูดเหน็บแนม หรือคำพูดแหลมคมใด ๆ เขาก็จะเปิดปากพูดออกมาหมด
คนแบบนี้ถ้าเป็นขุนนางที่ปรึกษาก็ยังพอไหว แต่ถ้าให้ไปถึงราชสำนักจริง ๆ ยังไม่ทันพ้นชานบันได คงถูกคนบีบจนตายก่อนแน่ ๆ
แค่ความผิดฐานเย่อหยิ่งหมิ่นเบื้องสูงเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะลงโทษเขาหนักแล้ว
ถ้าคิดจะใช้คนที่มีแต่หนามแหลมคมทั้งตัวแบบนี้ ต้องสร้างพื้นที่ให้มีรูปแบบเหมือนจาน แล้วจานนี้จะต้องกลมพอสมควร ถึงจะเอามาใช้งานได้
ภาพวาดที่เขานำมาแสดงวันนี้ไม่ใช่ภาพวาดของเขา แต่เป็นภาพวาดที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ชื่อถวนเกอเอ๋อวาดลวก ๆ ขึ้นมา เดิมทีถวนเกอเอ๋อมีนิสัยติดจะหยาบกระด้างในตอนแรก แต่หลังจากได้รับการขัดเกลาโดยท่านอาหกของเขา ตอนนี้เขาก็เริ่มรักในงานด้านศิลปะขึ้นมา มีแววที่จะตามรอยพ่อได้บ้างแล้ว
วาด ๆ สะบัด ๆ พู่กันสองสามที ก็พอจะนำออกมาอวดสายตาผู้คนได้บ้างแล้ว
ทุกคนที่รู้จักโจวเม่าต่างรู้ดีว่าเขาอยากเป็นขุนนาง อยากเป็นจนแทบบ้าให้ได้แล้ว เขามักใช้คำพูดคม ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจ เขาแทบอดรนทนรอไม่ไหว อยากให้ขุนนางที่คัดเลือกคนเข้าราชสำนักมองเห็นเขา ต่อให้เป็นการเรียกเข้าไปประณามสักยก ให้เขาได้พูดสิ่งที่อยากพูดจริง ๆ สักครั้ง เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเขาประสบความสำเร็จแล้ว
เปาเอ๋อรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า โจวเม่าไม่เคยปิดบังความคิดของเขา ถึงกับพูดหลายครั้งด้วยซ้ำว่าถ้าเขาได้เป็นขุนนางเขาจะทำอะไรบ้าง มีคำพูดหลายคำที่พอพูดต่อหน้านักเรียนที่ประพฤติตัวตามกฎส่วนใหญ่ ทุกคนจะรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ
แต่ซาลาเปากลับฟังเข้าหูแล้ว
ตัวอย่างเช่น เขาบอกว่าถึงแม้ฮ่องเต้จะพยายามพัฒนาการค้าชายแดนและการขนส่งทางทะเล
แต่ในช่วงหลายปีมานี้ พระองค์กลับทรงละเลยเรื่องการทำนา เดิมทีเป่ยถังเป็นประเทศที่เริ่มต้นจากการทำเกษตร หากถูกละทิ้งไป อาจมีวันหนึ่งที่จะถูกคนอื่นเข้ามาควบคุม
ทุกคนได้ยินแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะเศรษฐกิจและการค้าพัฒนาขึ้นแล้ว ประเทศมีเงินแล้ว ถ้าต้องการอาหารก็แค่ไปซื้อ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินเสียเมื่อไหร่
แต่เปาเอ๋อรู้สึกว่าเขาพูดถูก ขนาดพ่อเองก็พูดอย่างนั้น การเกษตรเป็นพื้นฐานให้ประชาชนได้กินอิ่มท้อง หากต้องซื้ออาหารจากภายนอกเป็นเวลาหลายปี เมื่อไหร่ที่เกิดสงครามหรือเกิดปัญหาการค้าชายแดน เช่นนั้นแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะถูกคนอื่นเข้ามาควบคุมจริง ๆ
และเพราะคำพูดนี้เอง ทำให้เปาเอ๋อสนใจเขา
เขารู้ว่า พ่อจะต้องทั้งรักและเกลียดโจวเม่าแบบเท่า ๆ กันแน่ แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะแนะนำคนคนนี้ให้พ่อแน่นอนแล้ว
ดังนั้น ก่อนที่จะเตรียมลับคมจิตวิญญาณของโจวเม่า เขาก็เข้าวังเพื่อไปคุยกับพ่อเรื่องของโจวเม่า บอกว่าเขาจะแนะนำให้พ่อได้รู้จัก
หยู่เหวินเห้าฟังแล้ว ก็มองดูเขาแล้วยิ้ม “เปาเอ๋อ ทำไมลูกถึงแนะนำคนคนนี้ให้พ่อล่ะ?”
“พ่อ ข้าคิดว่าเขามีศักยภาพที่มากพอที่จะสร้างได้” เปาจื่อพูด
หยู่เหวินเห้าตบ ๆ ไหล่เขา พูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “อื้ม คนที่ลูกแนะนำ พ่อต้องอนุมัติอยู่แล้ว แต่ทำไมคนแบบนี้เจ้าไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะ?”
“ลูก?” เปาจื่อตกใจ “ลูกจะใช้อย่างไรล่ะ? พาไปค่ายทหารรึ? เขาเป็นนักวิชาการนะ”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าวางแผนว่า ปีหน้าจะเรียกเจ้ากลับจากกองทัพ แล้วแต่งตั้งฐานันดรรัชทายาท จัดพิธีสวมมงกุฎให้เจ้า เจ้าควรมีราชสำนักขนาดเล็กของตัวเองไว้ด้วย ถ้ามีคนที่เจ้าเห็นว่าใช้งานได้ ก็เก็บไว้ใช้เองได้เลย ถึงอย่างไร เจ้าก็รู้ถึงบรรทัดฐานล่างสุด แล้วก็รู้ว่าจะควบคุมอย่างไร”
สีหน้าของซาลาเปาค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้นมา ประสานมือคารวะ “ลูกเข้าใจแล้ว”
หยู่เหวินเห้าตบไหล่เขา แววตาเปี่ยมด้วยความเอ็นดูและชื่นชม “เจ้าโตแล้ว ถึงเวลาที่ต้องยืนด้วยตัวเองได้แล้ว จงแสดงความสามารถที่มี พยายามทำงานหนักเพื่อบรรลุหน้าที่ที่พึงกระทำ เพื่อให้ทุกคนยอมรับนับถือในตัวเจ้า”
“ลูกน้อมรับคำสอน!” ดวงตาของซาลาเปาเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น พูดอย่างหนักแน่นว่า “ลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง”
หยู่เหวินเห้ามองลูกชายที่หล่อเหลางามสง่า ที่พอยืนขึ้นก็สูงพอ ๆ กับตัวเขาแล้ว ในใจเกิดความรู้สึกโล่งสบายอย่างอธิบายไม่ถูก
สองคนพ่อลูกคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ ใช้วิธีการพูดคุยกันแบบเพื่อน เพื่อสอนหลักการและเหตุผลบางอย่างในการเป็นฮ่องเต้ให้กับเขา
แต่แท้ที่จริงแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ ซาลาเปาล้วนได้เรียนรู้ไปไม่น้อย เขายังใช้พ่อเป็นแบบอย่าง แล้วพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับบทบาทของผู้สืบทอดแห่งราชวงศ์เป่ยถัง
แต่แล้ว ก่อนที่ซาลาเปาจะทันได้ขัดเกลาเคี่ยวเข็ญโจวเม่า กลับเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นเสียก่อน
เจ้าตาทับทิมหายไปแล้ว
วันนี้ ทังหยวนกับข้าวเหนียวพาหมาป่าหิมะกับเจ้าตาทับทิมไปที่บ้านของท่านชายสี่ ทังหยวนคุยอยู่กับท่านชายสี่ ส่วนข้าวเหนียวก็ไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องของเขา เจ้าตาทับทิมกับหมาป่าหิมะเล่นกันอยู่ในลานบ้าน รอจนทุกคนจัดการธุระเสร็จ หมาป่าหิมะก็เข้าไปในบ้าน แต่กลับไม่เห็นเจ้าตาทับทิม
ตอนแรกข้าวเหนียวคิดว่าเจ้าตาทับทิมอาจจะยังอยากเล่น ไม่เต็มใจที่จะกลับบ้าน คิดว่าคงจะอยู่ในจวนนี้ ที่ด้านนอกก็มีคนเฝ้ายามอยู่ตลอด มันคงจะวิ่งออกไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจนัก
จนกระทั่งพลบค่ำจะกลับจวนแล้ว กลับหาเจ้าตาทับทิมไม่พบ ตอนนี้เองถึงค่อยเริ่มกังวลขึ้นมา