บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1861 ซาลาเปาจัดงานสัมมนา
หลังจากยืนยันว่าหาเจ้าตาทับทิมไม่พบแน่แล้ว ทังหยวนกับข้าวเหนียวก็เดินหน้าม่อยคอตกไปหาพี่ชาย ขอร้องอ้อนวอนให้พี่ชายยกโทษให้
ซาลาเปาเชื่อคำพูดของแม่ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าเจ้าตาทับทิมจะต้องปลอดภัยดี ทั้งทำใจด่าทอตำหนิพวกน้องชายไม่ได้ กลับเป็นฝ่ายพูดปลอบโยนพวกเขาไปหลายคำ เพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจ
หลังจากที่หยู่เหวินเห้ารู้เรื่องนี้แล้ว เขาก็พูดกับหยวนชิงหลิงว่า “หัวใจของซาลาเปายิ่งนับวันก็ยิ่งกว้างขึ้น เขาคู่ควรกับความรับผิดชอบอันหนักหน่วงที่ต้องแบกรับ”
“เพิ่งรู้รึ?” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าเพิ่งมารู้ตอนนี้ แต่รู้ก่อนหน้านี้นานแล้ว แค่ต้องมองผ่านเรื่องราวทีละเรื่อง ๆ ด้วยตาตัวเอง สิ่งเหล่านี้มันบอกข้าว่า เขาจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน” หยู่เหวินห่าวดื่มชาไปพลาง ในสมองก็ถึงกับเริ่มคิดเรื่องจะเกษียณอายุขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าจะเร็วเกินไปหน่อยที่จะคิดถึงเรื่องนี้ แต่แผนการใด ๆ ล้วนต้องใช้เวลาไม่ใช่หรือ?
ถึงอย่างไร อนาคตของเขาก็ยังอีกยาวไกล วางแผนไว้ก่อนสักสิบกว่าปี แล้วออกไปเที่ยวเล่นสักร้อยกว่าปี ทำไมจะไม่สนุกสุขสันต์ล่ะ?
ซาลาเปาเก็บซ่อนเรื่องของเจ้าตาทับทิมเอาไว้ในใจ อดทนรับความเจ็บปวดของการจากลา แล้วเดินหน้าจัดเวทีสัมมนาของเหล่านักเรียนขึ้นอย่างเป็นทางการ
งานสัมมนาครั้งนี้ ไม่มีการจำกัดหัวข้อที่ใช้ถกกัน ไม่ว่าเรื่องราชสำนัก เรื่องประเทศ เรื่องในยุทธภพ หรือแม้แต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของคนหนุ่มสาว ก็สามารถยกมาพูดได้อย่างอิสระ
เขายังเชิญโจวเม่ามางานนี้ด้วย โจวเม่าโยนบัตรเชิญทิ้งไว้ด้านหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “ต้องดูก่อนนะว่าตอนนั้นข้าว่างหรือไม่ ถ้าไม่ว่างอย่างไรก็ไม่ไป หรือต่อให้ว่างก็ไม่แน่ว่าจะไป”
คนส่งจดหมายเชิญกลับมาบอกซาลาเปา ซาลาเปาแค่ยิ้ม โจวเม่าจะต้องไปแน่นอน เขาเป็นคนสันโดษและแปลกประหลาด ขอแค่ที่ไหนมีงานชุมนุม หรือเป็นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เขาเป็นต้องไปปรากฏตัวที่นั่นอย่างไม่เคยขาด
ในใจเขามีเรื่องที่อยากจะพูดมากมาย อัดแน่นขนัดอยู่ภายในหัวของเขา อยากไปพูดในสถานที่ที่มีผู้คนเยอะ ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงงานสัมมนาที่มีขนาดของงานใหญ่โตเช่นนี้
งานของซาลาเปาครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแค่งานสัมมนาแบบคนทั่วไป แต่ได้เชิญแขกรับเชิญพิเศษผู้ทรงคุณวุฒิมาด้วย นั่นคือโสวฝู่ฉู่ผู้ที่เกษียณอายุไปแล้ว
ท่านฉู่ชอบแลกเปลี่ยนความรู้กับคนหนุ่มสาว เขาอยากรู้ว่าตอนนี้พวกเขาคิดอย่างไร มองเห็นอะไร มีความรู้สึกลึก ๆ อย่างไรต่อเป่ยถัง ดังนั้นจึงหวังว่าจะค้นพบคนที่มีความสามารถรุ่นใหม่ แน่นอนว่า เขาคิดที่จะสนับสนุนประคับประคองซาลาเปาด้วยอีกแรง
เพราะครั้งนี้ ซาลาเปาจำเป็นต้องฝึกฝนขัดเกลาคนของเขาเอง ก่อร่างสร้างชุดทำงานในราชสำนักเล็กๆ ไว้ แน่นอนว่า เขาต้องเช็ดตาให้ใสกระจ่าง ช่วยเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาสักหลาย ๆ คน
แต่ซาลาเปาไม่ได้บอกพวกนักเรียนว่าอดีตโสวฝู่จะมาเข้าร่วมงานนี้ด้วย เมื่อถึงเวลา ตอนที่ท่านฉู่ มาปรากฏตัว พวกเขาจึงไม่รู้จัก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยเจอมาก่อน
การที่ไม่ได้บอกให้พวกเขารู้ว่าโสวฝู่อยู่ที่นี่ด้วย เป็นเพราะทันทีที่พวกเขารู้แล้ว พวกเขาจะพูดอย่างอิสระไม่ได้ และจะเลือกพูดแต่สิ่งดี ๆ ที่น่าฟังเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ทั้งยังเสียเงินค่าน้ำชาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
งานสัมมนานี้จัดขึ้นที่ร้านน้ำยาชิงหย่วน ซึ่งห่างจากจวนอ๋องฉู่ไปไม่ถึงสามถนน
แผนการครั้งนี้ เป็นการร่วมมือกันทำของพวกเด็ก ๆ ข้าวเหนียวเป็นคนกำหนดสถานที่ ทังหยวน เลือกชาและอาหารว่าง เจ๋อหลานเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก โค้กกับเซเว่นอัพรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของสถานที่จัดงาน
เรื่องของพี่ใหญ่ ทุกคนให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะว่ากันตามจริง ตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาก็มีโอกาสทำอะไรร่วมกันได้ไม่มากนัก
แต่พวกเขาก็ไม่กระโตกกระตาก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ขุนนางในราชสำนักไปร่วมงานจนวุ่นวายโกลาหล ซึ่งนั่นจะทำลายความตั้งใจเดิมของลูกชายคนโตจนเสียหายได้
เมื่อถึงวันสัมมนา ไม่นับว่าคึกคักมากมายนัก มีแค่เหล่านักเรียนที่ได้รับเชิญ กับนักวิชาการที่เก่งกาจ ในเมืองหลวงจำนวนหนึ่งมาเข้าร่วม ไม่ได้เชิญใครอื่น ดังนั้นจึงไม่มีประชาชนมาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ ร้าน
ซาลาเปามาถึงพร้อมกับท่านฉู่ วันนี้ท่านฉู่แต่งตัวเรียบง่ายอย่างยิ่ง สวมเสื้อคลุมสีเขียวแบบครึ่งตัว ด้านหน้าและหลังเรียบ ๆ ไม่มีลายปักทอใด ๆ เส้นผมสีขาวถูกมัดรวบตึง สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนบัณฑิตอาวุโสคนหนึ่ง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่านฉู่ไม่ค่อยทำตัวเป็นจุดสนใจ เขาแทบไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน คนหนุ่มสาวย่อมไม่รู้จักเขา ต่างคิดกันแค่ว่า หยู่เหวินหลี่คงจะเชิญนักวิชาการอาวุโสมานั่งเป็นประธานในพิธีให้
ซาลาเปาเห็นโจวเม่าแล้ว เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาว นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย สะบัดพัดในมือส่ายไปมา ดูเหมือนสร้างโลกส่วนตัวอยู่คนเดียว ไม่พูดคุยกับใครคนอื่น
เขามองไปที่ท่านฉู่สองสามครั้ง ดูจากอากัปกิริยาของท่านฉู่แล้ว เขารู้สึกว่าต้องเป็นชายชราผู้มีความรอบรู้เฉลียวฉลาดมากแน่ ๆ จึงลุกขึ้นยืนทันที แต่ไม่ได้เข้ามาคารวะทักทาย
หลังจากที่ทุกคนเข้าไปในสถานที่จัดงานแล้ว หยู่เหวินหลี่ก็กล่าวต้อนรับทุกคนสองสามประโยค รวมทั้งแนะนำกฎของการสัมมนาในวันนี้ นั่นคือ ไม่ว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามขึ้นมา ทุกคนสามารถถกในประเด็นนั้นรวมถึงโต้แย้งได้
มีคนหยิบยกประเด็นขึ้นมาพูดเป็นคนแรกทันที บอกว่าจนถึงตอนนี้การรักษาพยาบาลยังไม่เพียงพอ ประชาชนคนทั่วไปที่อยากไปหาหมอยังค่อนข้างลำบากอยู่
มีคนโต้กลับทันที ว่าเป่ยถังนับว่าเพียงพอแล้ว ลองเจ้าไปดูที่แคว้นอื่นสิ นั่นต่างหากที่เรียกว่าลำบากของจริง มีคนไข้จำนวนมากที่รอไปจนกระทั่งขาดใจตาย ก็ยังไม่ได้รับการรักษาจากหมอ
ทั้งยังมีคนที่ออกมาสรรเสริญฮองเฮาด้วย บอกว่าการรักษาพยาบาลทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นเพราะการปฏิรูปของฮองเฮา การก่อตั้งโรงเรียนหมอ ทำให้มีการผลิตหมอส่งออกมาจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นคำสรรเสริญเยินยอ ชื่นชมยกย่อง ไปจนเทิดทูนบูชาที่แทบเท้าฮ่องเต้ล้วนมีหมด เป็นการสมควรที่จะแซ่ซ้องร้องเพลงสรรเสริญราชวงศ์สักหน่อย เพราะใครจะไปรู้ล่ะว่า ราชวงศ์จะส่งคนมาแอบฟังสัมมนาครั้งนี้บ้างหรือไม่?