บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1863 นักเรียนเปามีสถานะอะไรกันแน่นะ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1863 นักเรียนเปามีสถานะอะไรกันแน่นะ
หลังจบงานสัมมนา ท่านฉู่ได้เขียนชื่อคนสี่ห้าคนแล้วยื่นส่งให้ซาลาเปา พูดว่า “คนเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับมัธยมปลายหรือมีอันดับอะไรหรือไม่ก็ตาม ให้ความสนใจไว้สักหน่อย”
ซาลาเปาเปิดดู ก็เห็นว่ามีแค่ชื่อ โจวเม่า ซุนขู่เถียน หลิวอี้เผิง อู๋เชาหมิน หลี่ไป๋ชิง ห้าชื่อนี้ที่เขียนไว้
บังเอิญจริง ๆ นี่เป็นชื่อของคนที่เข้าตาของเขาพอดี
ซาลาเปาอมยิ้มอย่างพอใจ พูดว่า “ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์!”
ท่านฉู่ตบ ๆ ไหล่เขา “วันหลังพาพวกเขาไปหากระหม่อม”
“ขอรับ!” ซาลาเปารับปาก แต่หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยถามว่า “ต้องรอหลังสอบเสร็จก่อนค่อยไปพบหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น พามาอย่างลับ ๆ ก็ได้ นี่เป็นการทดสอบพวกเขาด่านสุดท้าย” ท่านฉู่ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
นี่เป็นการทดสอบธรรมชาติของมนุษย์
ถ้าเคยได้พบพวกเขา พวกนั้นจะออกไปข้างนอกแล้วพล่ามไปทั่วว่าตัวเองเคยได้พบเขา หรือตอนที่สอบอยู่รู้สึกว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ถูกเลือก จนเกิดความรู้สึกโอหังมั่นใจ เช่นนั้นก็เอามาใช้ไม่ได้
เพราะคนที่ใจร้อนและหยิ่งยโส ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น ต่อให้ใช้ได้ ก็จะไม่มีประโยชน์มากมายอะไรนัก
หลังจากที่ได้พบเขากับอู๋ซ่างหวง แล้วยังสามารถสงบจิตสงบใจ จนสามารถกลับไปสู่ความตั้งใจเดิมของผู้เข้าสอบได้ ถึงค่อยคุ้มค่าจะพิจารณาอีกที
แต่ก็เป็นแค่การพิจารณาดูอีกทีเท่านั้น เพราะการคัดเลือกคนเข้าราชสำนักเข้มงวดมาก มีคนที่เก่งกาจและโดดเด่นกว่าพวกเขามากมาย แค่พิจารณาพวกเขาสี่ห้าคน เป็นเพราะต้องการสร้างต้นแบบของกลุ่มทำงานให้กับซาลาเปาเท่านั้น
ซาลาเปาคิดดูแล้ว ก็เข้าใจว่าความหมายที่ท่านฉู่ต้องการสื่อ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นจะให้พาไปพบท่านได้ที่ไหนรึ?”
“จวนอ๋องซู่ ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่กับแม่นมสี่ที่จวนอ๋องซู่ ” ท่านฉู่พูดด้วยท่าทางออกจะภูมิใจน้อย ๆ
“นั่นไม่ใช่ว่าจะได้พบกับเสด็จทวดด้วยหรอกรึ?”
“ให้เขาได้ดูผ่านตาด้วยเสียหน่อย เรื่องมองคนน่ะ เสด็จทวดของเจ้ามีพิษสงกว่าใครทั้งหมดแล้ว” เมื่อท่านฉู่พูดถึงเพื่อนเก่า ก็มีท่าทางค่อนข้างภูมิใจด้วยเช่นกัน
ซาลาเปาซาบซึ้งใจมาก ผู้อาวุโสทั้งสามท่านเป็นห่วงเขามากจริง ๆ การที่ท่านฉู่มาร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ คาดว่าเสด็จทวดคงรู้เหตุผลอยู่แล้วว่าเพราะอะไร
คาดว่าเสด็จทวดคงให้รอจบงานสัมมนา แล้วถ้ามีคนที่เหมาะสมเข้าตาก็ให้พามาดู ๆ สักหน่อย
ผ่านไปสองวัน ซาลาเปาก็ส่งบัตรเชิญไปให้ทั้งห้าคน เพื่อเชิญพวกเขาไปเป็นแขกในที่แห่งหนึ่ง แน่นอนว่า เขาไม่ได้บอกว่าเป็นจวนอ๋องซู่
อีกสี่คนตอบรับคำเชิญทันที แต่โจวเม่ากลับบอกว่าเขาต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบ จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว การสอบก็ใกล้เข้ามาทุกที ไม่ควรเอาแต่ออกไปเที่ยวเล่น จึงปฏิเสธไป
หลังจากคนส่งจดหมายกลับมารายงาน ซาลาเปาก็เรียกให้คนไปส่งบัตรเชิญให้เขาอีก กำชับคนไปว่า ครั้งนี้จะไปที่บ้านเขา ที่บ้านมีผู้ใหญ่ในครอบครัวคนหนึ่งที่เคยเป็นขุนนางในราชสำนัก แต่ตอนนี้เกษียณมาอยู่บ้าน แต่มีนิสัยชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนหนุ่มสาว
โจวเม่าหลับฝันก็ยังฝันอยากจะได้พบกับขุนนางสักครั้ง ต่อให้เป็นขุนนางที่เกษียณแล้วก็ไม่สำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ราชสำนักมีขุนนางพ้นหน้าที่ตั้งเท่าไหร่ ชายชราผู้นี้แก่มากแล้ว แต่กลับยินดีรับฟังคนหนุ่มสาว. เป็นอะไรที่หายากมากจริง ๆ จึงรับปากตกลงทันที.
วันรุ่งขึ้น ซาลาเปาส่งรถม้าไปรับพวกเขา
แม้ว่ารถม้าจะไม่นับว่าหรูหรามากนัก แต่ก็กว้างขวางนั่งสบาย ผ้าม่านถูกยกขึ้นรับลม มีเบาะนั่งบุนวมสีเขียวตรงส่วนที่นั่งและพนักพิง ด้านในมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่ที่มุม
ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต ได้เห็นหนังสือก็เหมือนพ่อค้าที่ได้เห็นเงิน เผลอหยิบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วพลิกอ่านทันที
หนังสือทั้งหมดเหล่านี้เป็นประเพณีท้องถิ่นชื่อว่าชวนจื้อ รวบรวมโดยนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงของเป่ยถังนามว่าตงฟางซานจู่
แน่นอนว่าพวกเขาล้วนเคยอ่านมาแล้ว แต่ก็แค่อ่านผ่านตาแบบคร่าวๆ สุดท้ายก็อุทิศตัวเองให้กับการศึกษาหาความรู้ ส่วนเรื่องทิวทัศน์ ก็อาศัยสองขาเดินเที่ยวไปมาได้อยู่แล้ว
คนหนุ่มสาวมักคิดแบบนี้ คิดว่าในอนาคตตัวเองจะไปท่องเที่ยวทั่วหล้าได้
“แต่จะว่าไป ทุกคนรู้หรือไม่ว่าครอบครัวของนักเรียนเปาทำอาชีพอะไร?” จู่ ๆ โจวเม่าก็โพล่งถามขึ้นมา
“ไม่รู้สิ ไม่เคยได้ยินเขาเล่าให้ฟังมาก่อนเลย” ซุนขู่เถียนส่ายหน้า “พอมาคิด ๆ ดู ก็น่าจะทำการค้านะ? เห็นเวลาเขาเลี้ยงข้าวใครก็ใจกว้างมาก ๆ เลย”
“ไม่เหมือน!” โจวเม่าแย้ง
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?” ทุกคนหันไปมองโจวเม่า
โจวเม่ากวาดตามองรถม้าที่กว้างขวางคันนี้ “รถม้าคันนี้สามารถรองรับพวกเราทั้งห้าคนได้สบาย อีกทั้งหน้ารถยังมีม่านเบญจาประดับอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าชาติกำเนิดไม่ต่ำแน่ ครอบครัวเขาต้องไม่ได้ทำการค้าอย่างแน่นอน ”
รถม้าของพ่อค้าวาณิช ต่อให้กว้างใหญ่หรูหราแค่ไหน ก็ใช้ม่านประดับห้าสีไม่ได้ จะแขวนได้แค่ม่านไม้ไผ่เท่านั้น
หลิวอี้เผิงหลุดหัวเราะออกมา “นี่มันมีอะไรน่าแปลกล่ะ? รถม้าของพ่อค้าจำนวนมากก็ทาสีสันจนทั่วคัน ตอนนี้ไม่ได้ควบคุมเข้มงวดมากมายแล้ว ทุกที่ทุกถิ่นก็ยินยอมกันทั้งนั้น”
โจวเม่าพูดประชดประชันขึ้นทันทีว่า “เจ้าก็บอกเองนี่ว่าเป็นบ้านเกิดของเจ้า แต่นี่คือเมืองใต้พระบาทฮ่องเต้เลยนะ เจ้าเข้าเมืองหลวงมาตั้งนานขนาดนี้ เจ้าเคยเห็นรถม้าของพ่อค้าคันไหนทาสีสันหลากสีด้วยหรือ? ยิ่งเป็นเมืองหลวงที่ใกล้พระเนตรพระกรรณเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญสิ”
ทุกคนคิดว่าโจวเม่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเอง ก็แค่รถม้าคันเดียวเท่านั้น เดิมทีกฎของราชวงศ์ก็ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่อาชีพค้าขายเฟื่องฟู สถานะของพ่อค้าก็ได้รับการยกระดับขึ้นมาไม่น้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดไว้หรอกหรือว่า คนธรรมดาไม่อาจใช้ผ้าต่วนลายริ้วเมฆได้ แต่พอผู้คนมีเงินขึ้นมา ก็เห็นอยู่ว่าใช้ตามกันจนเกร่อเลยไม่ใช่รึ?