บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1864 ไม่รู้ว่ามีตำแหน่งในราชสำนักหรือไม่
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1864 ไม่รู้ว่ามีตำแหน่งในราชสำนักหรือไม่
จู่ ๆ โจวเม่าก็รู้สึกว่าตัวเองรู้เรื่องของนักเรียนเปาน้อยเกินไปแล้ว รู้แค่แซ่อย่างเดียว แต่กระทั่งชื่อจริงชื่ออะไรก็ยังไม่รู้
ปกติจะเห็นเขาใส่แต่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่มักดูมีความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็มองออกอยู่ว่านักเรียนเปามีกิริยาท่าทางของพวกชนชั้นสูง ซึ่งเขาจงใจปกปิดเอาไว้ แต่บางครั้งไม่ว่าจะเป็นตอนยกไม้ยกมือ ท่วงท่ายามก้าวขาเดินเหิน ก็ยังมองเห็นในจุดนั้นได้
แน่นอนว่า เขาไม่เคยยกเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งเป็นประเด็น เพราะคนธรรมดาสามัญพวกนี้ จะแค่เยาะเย้ยถากถางเขา หาว่าเขาเป็นพวกคิดมากช่างสงสัย พวกเขาไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีความสงสัย พวกเขาจะไม่ไปตรวจสอบ และถ้าไม่มีการตรวจสอบ ก็จะไม่มีทางพิสูจน์ความจริงได้
คนธรรมดาสามัญ
เขาคิดว่าครอบครัวของนักเรียนเปาน่าจะเป็นขุนนาง ซึ่งจุดนี้สามารถเห็นได้จากรถม้า ส่วนเรื่องที่ว่ามีตำแหน่งขุนนางถึงขั้นไหน เดาแบบคร่าว ๆ ก็ไม่น่าจะเกินขั้นเจ็ด
เพราะว่า พวกลูกหลานในครอบครัวขุนนางที่มีตำแหน่งเกินขั้นเจ็ดขึ้นไป จะค่อนข้างเย่อหยิ่งจองหองกันทั้งนั้น
นี่ก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์ชีวิตของเขาที่ได้เรียนรู้สะสมมา เขาเคยได้พบกับพวกลูกหลานขุนนางมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจมูกแต่ละคนจะเชิดหยิ่งขึ้นฟ้ากันทั้งนั้น
เขามีแผนในใจแล้ว อีกครู่เขาจะค่อย ๆ เลียบเคียงถามเกี่ยวกับครอบครัวของนักเรียนเปา ว่าเป็นขุนนางตำแหน่งอะไร ต้องทำความรู้จักสนิทสนมกับเขาไว้สักหน่อย
รถม้ามาถึงจวนอ๋องซู่ แต่ไม่ได้เข้าทางประตูหลัก แต่กลับอ้อมไปทางประตูข้าง
จวนอ๋องซู่เป็นจวนที่ถูกทิ้งร้างจนทรุดโทรมมาช้านาน ประตูหน้าสีหลุดลอกกระดำกระด่างไปหมดแล้ว ส่วนประตูข้างก็ยิ่งทรุดโทรมหนักกว่า
ในวันธรรมดา ประตูข้างก็แทบจะไม่ค่อยปิดอยู่แล้ว เพราะคนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าที่นี่ไม่มีของมีค่าอะไรให้ขโมย ดีไม่ดีถ้าหลวมตัวเข้ามา อาจต้องทิ้งแผ่นทองแดงสักหลาย ๆ แผ่นไว้ที่นี่แทนก็ได้
แน่นอนว่า ทุกคนก็รู้ด้วยว่าจวนอ๋องซู่เป็นดั่งปราการเหล็กที่แข็งแกร่งมาก ที่นี่มีกลุ่มชายชราที่มีวรยุทธ์สูงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าคนเดียวสู้ศัตรูได้เป็นร้อย และไม่ใช่ตำนานที่เล่าขานกันแค่เล่น ๆ ด้วย
ที่ตรอกของประตูข้างนั้น รถม้าสามารถผ่านได้ ทั้งหมดเกิดจากการที่กำแพงประตูข้างของจวนเกิดพังถล่มลงมา จึงเกิดพื้นที่ว่างราวสิบฉื่อ(เทียบได้กับฟุต) ขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากต้องการรักษาระยะห่างจากพวกเขา จึงต้องมีตรอกกว้าง ๆ เช่นนี้
เหล่านักเรียนลงจากรถม้า มีข้ารับใช้ชราที่สวมชุดดำทั้งตัวเข้ามานำทางพวกเขาให้เดินตรงไปข้างหน้า ข้ารับใช้ชราคนนี้เดินได้เร็วมาก อีกทั้งฝีเท้าก็เบามาก จนเหล่านักเรียนวัยเยาว์ทั้งหลายแทบจะเดินตามไม่ทันเลยทีเดียว
ทั้ง ๆ ที่เร่งฝีเท้าตามจนสุดแรง ก็ยังถูกทิ้งระยะห่างระดับหนึ่ง
“เดินให้มันเร็ว ๆ หน่อย แต่อย่าส่งเสียงดังเกินไป คนในห้องกำลังนอนหลับอยู่” ชายชราคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดไม่น้อย
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่มันตั้งยามอะไรแล้ว? ยังนอนหลับอยู่อีกหรือ?
แต่ไม่พูดไม่ได้ว่า บ้านหลังนี้ใหญ่โตน่าดูเลยจริง ๆ ติดอยู่แค่สร้างห้องขึ้นมาหลายห้องในลักษณะวุ่นวายระเกะระกะไปหน่อย ทั้งยังไม่ได้ดูสวยงามเจริญตาสักเท่าไหร่
ส่วนในลานบ้าน ไม่เห็นดอกไม้สวยงามแปลกตา แต่กลับเห็นเป็ดไก่แพะแกะเดินกันให้ขวักไขว่ บ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ตกแต่งให้งดงามเสียหน่อย แต่กลับเอาเป็ดไก่ วัวควาย แพะแกะมาเดินเตร็ดเตร่กันเต็มไปหมด ทุกที่เต็มไปด้วยมูลสัตว์ นี่ไม่เท่ากับทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับฐานะหรอกหรือ?
หลังจากเดินลดเลี้ยวไปมาได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่ในที่สุด
นักเรียนเปามาต้อนรับที่หน้าประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ แต่งกายด้วยผ้าไหมทอประณีต รอยยิ้มละไมเต็มใบหน้า ดูอบอุ่นงดงามดั่งหยกสลัก สะอาดสะอ้านแลดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว
“มาแล้วรึ? รีบเข้ามาเร็วเข้า!” ซาลาเปาก้าวขึ้นไปข้างหน้า ประสานมือคารวะ
หลังจากที่ทุกคนคารวะกลับ หลิวอี้เผิงก็พูดว่า “นักเรียนเปา บ้านของเจ้าใหญ่โตน่าดูเลย”
โจวเม่าเริ่มคิดจะกลับการคาดเดาเมื่อครู่นี้ขึ้นมาแล้ว บ้านใหญ่โตขนาดนี้ เกรงว่าไม่น่าจะใช่จวนของขุนนาง อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นบ้านเรือนของท่านอ๋องหรือไม่ก็พวกราชนิกุล แต่บ้านเรือนของท่านอ๋องก็คงจะไม่เลี้ยงพวกเป็ดไก่ วัวควาย แพะแกะในลานบ้านแบบนี้
หลังจากคารวะกลับ ก็เข้าไปในห้องโถงหลัก เห็นเพียงผู้อาวุโสสองคนนั่งอยู่ข้างใน หนึ่งในนั้นคือคนที่ได้เจอในงานสัมมนาวันนั้นแล้ว วันนี้เขาแต่งกายด้วยชุดที่ดูเป็นทางการมาก ชุดผ้าไหมทั้งชุดของเขาแค่เห็นแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าสูงค่ามาก
ส่วนชายชราอีกคน ผมของเขาเป็นสีขาวดอกเลา ใบหน้าผอมตอบ ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่นั่นก็ไม่นับว่าเป็นอะไร ติดที่เขา…. เขานั่งยอง ๆ อยู่บนเก้าอี้ สองมือซุกเข้าไปในแขนเสื้อ หันหน้ามามองดูพวกเขา ความแข็งแกร่งที่ปรากฏจึงเหมือนยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
“ท่านปู่ทวด ท่านอาจารย์ นี่คือเพื่อน ๆ ของข้าเอง” ซาลาเปาก้าวขึ้นไปข้างหน้า แล้วกล่าวแนะนำพวกเขาทีละคน ท่านนี้คือปู่ทวดของข้า ท่านนี้คืออาจารย์ของข้า ตามลำดับ
หลังจากที่พวกโจวเม่าเข้ามากล่าวทักทายแล้ว เขาก็มองไปที่อู๋ซ่างหวง แล้วประสานมือคารวะ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสเคยรับตำแหน่งในราชสำนักหรือไม่ขอรับ?”
แม้ว่าพอมาดูตอนหลังแล้วจะไม่ค่อยเหมือนขุนนางเท่าไหร่ แต่ตอนที่อยู่ในงานสัมมนาวันนั้น เคยพูดไว้ว่า ชายชราคนนั้นเป็นขุนนางเกษียณ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าชายชราคนนี้ก็เป็นเหมือนกัน?
ติดอยู่แค่ท่านั่งยอง ๆ ของเขามันค่อนข้างจะ….. ไม่สมฐานะเท่าไหร่
อู๋ซ่างหวงมองเขา “ตำแหน่งในราชสำนัก? นับว่าใช่ก็ได้อยู่”
ก็แค่เป็นผู้นำใหญ่สุดเท่านั้นเอง