บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1866 จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
หลังจากที่ซาลาเปาช่วยปลุกเพื่อน ๆ ทั้งหลายจนตื่นขึ้นมาได้ ก็เริ่มแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ ภายใต้สายตาที่งุนงงสับสนของพวกเขา
“ข้ามีชื่อว่าหยู่เหวินหลี่ ชื่อเล่นคือซาลาเปา ทุกคนเรียกข้าว่านักเรียนเปาต่อไปก็ได้ ท่านนี้คือเสด็จปู่ทวดของข้า ซึ่งเคยเป็นฮ่องเต้ของเป่ยถัง ตอนนี้สละตำแหน่งออกมาแล้ว มีสถานะเป็นอู๋ซ่างหวง ส่วนท่านนี้คืออดีตโสวฝู่ เกษียณจากงานราชการแล้วมาอยู่บ้าน ทุกคนสามารถเรียกเขาด้วยความเคารพได้ว่าท่านฉู่ แล้วก็ยังมีท่านนี้……”
เขายื่นมือออกไปดึงเซียวเหยากงที่เพิ่งเดินเข้าประตูมา เซียวเหยากงยังถือไหเหล้าใบหนึ่งอยู่ในมือ ท่าทางยังดูเมา ๆ ไม่ตื่นดีอยู่เกือบครึ่ง เมื่อคืนนี้เป็นเขาเองที่ดื่มกับอู๋ซ่างหวง วันนี้จึงตื่นสาย แต่ยังจะถือไหเหล้ามา แล้วพูดเสียดูดีว่าจะฟื้นฟูจิตวิญญาณให้กระชุ่มกระชวย
“ท่านนี้คือเซียวเหยากง” หลังจากที่ซาลาเปาแนะนำเสร็จ ก็มองดูพวกเพื่อน ๆ อย่างจริงจัง พอเห็นว่าทุกคนทำท่าเหมือนจะสลบเหมือดไปอีกครั้ง เขาก็รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “อย่าสลบกันอีกนะ ไม่อย่างนั้นเสด็จแม่ของข้าคงต้องมาฉีดยาให้พวกเจ้าจริง ๆ แล้วล่ะ”
ประโยคนี้ทำให้พวกเขาต้องสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วยืดเอวขึ้น แต่หลังจากยืดเอวจนตรงดีแล้ว คนก็คุกเข่าลงไปกับพื้นจัง ๆ ริมฝีปากสั่นเทาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในหัวขาวโพลน หูอื้อจนได้ยินแต่เสียงวิ้ง ๆ สมองยังคงพยายามย่อยคำพูดของนักเรียนเปาต่อ
เซียวเหยากงเห็นอย่างนั้น ก็พูดว่า “ดื่มสักอึกน่าจะดีขึ้นหน่อยกระมัง?”
พูดจบ เขาก็ยื่นไหเหล้าไปตรงหน้าโจวเม่า “มา เจ้าหนู กระดกสักอึกให้ชุ่มปอด!”
โจวเม่าวิงเวียนคลื่นเหียนไปหมด เห็นแต่ใบหน้าแดงก่ำกับไหเหล้ารูปทรงน้ำเต้าใบหนึ่งแกว่งไกวไปมาตรงหน้า เขาจึงอ้าปากออกโดยไม่รู้ตัว เหล้ารสชาติเผ็ดร้อนถูกกรอกลงปากไหลรินลงไปในลำคอตรง ๆ เขาแทบจะลืมวิธีกลืนไปแล้วด้วยซ้ำ เหล้าไหลล้นออกจากมุมปากของเขาไปไม่น้อย
แม้ว่าพูดได้ว่าเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม แต่หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปก็เริ่มขวัญกล้าขึ้นมาบ้าง คำพูดคำจาก็กล้าหาญขึ้นมาก คำพูดของเขาทำให้อู๋ซ่างหวงนึกชื่นชอบอย่างยิ่ง ยกนิ้วโป้งให้ซาลาเปา แล้วพูดว่า “ข้าแนะนำให้แล้วกันว่าจับตาไว้สักหน่อย เจียระไนสักนิด เอามาใช้งานเสียเถอะ”
นับตั้งแต่เปิดสอบคัดเลือกนักวิชาการเข้าราชสำนักเป็นต้นมา ขุนนางที่ถูกแนะนำโดยเน่ย์เก๋อก็มีอยู่ไม่น้อย ผู้ที่ถูกแนะนำไม่ได้เลือกเส้นทางของการสอบคัดเลือกนักวิชาการ ก็ยังสามารถเฉิดฉายส่องประกายได้ไม่ต่างกัน
ตอนนี้มีคนที่ได้รับการแนะนำจากอู๋ซ่างหวงโดยตรง แน่นอนว่าซาลาเปาย่อมวางใจที่จะใช้เขาแล้ว
พวกเขาพูดคุยกันไม่หยุด ระหว่างที่ดื่มเหล้า ยิ่งพูดก็ยิ่งมาก ยิ่งดื่มก็ยิ่งเมา จนสุดท้าย พวกเขาทั้งหมดก็ถูกกลุ่มชายชราชุดดำส่งกลับบ้านไป
หลังจากที่พวกเขาสร่างเมาขึ้นมา แต่ละคนก็กุมหน้าผากของตัวเองอยู่ในโรงเตี๊ยม พยายามอย่างหนักในการจดจำรายละเอียดเฉพาะเจาะจงที่ได้เจอมา
แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นแค่ความฝันฉากหนึ่ง ในความฝันมีชายชราคนหนึ่งบอกพวกเขาว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือหลานชายของเขาเอง ยังบอกด้วยว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะมาฉีดยาให้พวกเขา ซึ่งฟังแล้วมหัศจรรย์พันลึกอย่างยิ่ง
พวกเขามารวมตัวกันอย่างเร่งด่วน ปะติดปะต่อความทรงจำที่ขาด ๆ หาย ๆ เข้าด้วยกัน แต่กลับยังไม่อยากเชื่อว่า ผู้ที่พวกเขาได้พบเมื่อคืนนี้จะเป็นอู๋ซ่างหวงจริง ๆ
โจวเม่าถึงกับพูดว่า “คงไม่ใช่ว่าวางยาอะไรใส่พวกเรา จนทำให้พวกเราเกิดภาพหลอนกันหรอกนะ? ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด”
พวกเขาทั้งสี่คนก็ยังแสดงท่าทีว่าไม่เชื่อเหมือนกัน
อันที่จริง พอลองนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องพวกนั้น ก็รู้สึกว่ามันล่องลอยโหวงเหวงมาก ไม่ใช่ความรู้สึกประเภทที่ได้รับรู้ถึงความเป็นจริงสักเท่าไหร่
แต่ถ้าทั้งหมดเป็นภาพลวงตา… อย่างไรก็เลือกเชื่อไว้จะดีกว่า ให้ตายพวกเขาก็อยากจะเชื่อว่า ตัวเองเคยมีการผจญภัยแบบนี้จริงๆ มากกว่าที่จะเชื่อว่าตัวเองถูกหลอกปั่นหัวเล่น
ทั้งหมดหารือกัน สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูที่จวนอ๋องซู่ให้เห็นกับตา หลังจากดื่มจนเมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากนั้น ทุกคนล้วนรู้สึกว่ามันคลุมเครือไปหมด แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะเข้าไปในจวน พวกเขายังจำได้ชัดเจน
นั่นคือประตูข้าง ตรอกขนาดใหญ่ และกำแพงสูงที่มีรอยกระดำกระด่าง
พวกเขาเช่ารถม้าคันหนึ่ง ทั้งห้าคนเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่ในนั้น มันแคบมากเสียจนแทบจะหันตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่ารถม้าที่นักเรียนเปาส่งมารับพวกเขาคันนั้น มันกว้างขวางและสะดวกสบายขนาดไหน
เมื่อมาถึงจวนอ๋องซู่ พวกเขาจำประตูหน้าไม่ได้ เพราะไม่ได้หยุดที่ประตูหน้าก่อน หลังลงจากรถม้าก็เดินวนดูรอบ ๆ แล้วค่อยเดินเข้าไปในตรอก เห็นประตูข้างที่สึกกร่อนผุพังสองบานนั้น ชั่วพริบตา ความทรงจำก็ไหลหลั่งประดุจสายน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้น
เป็นที่นี่ไม่ผิดแล้ว
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ ต่างคนต่างหันมองหน้ากัน เมื่อคืนพวกเขาได้เข้าไปในจวนอ๋องซู่จริง ๆ ได้พบอู๋ซ่างหวง อดีตโสวฝู่ และเซียวเหยากงจริง ๆ ดังนั้น สถานะที่แท้จริงของนักเรียนเปาก็คือ……
แต่ระดับฝีมือวาดภาพของนักเรียนเปานั้นย่ำแย่เกินไปแล้วนะ เขาไม่เก่งในเรื่องนี้เอาเสียเลย
…..ถ้าหากเขาเป็นรัชทายาท เช่นนั้นภาพวาดผืนนั้นก็พอจะได้รับการอภัยให้ได้อยู่ วันหลังเขายังสามารถเขียนอักษรไม่ก็วาดภาพแทนได้ ถ้าเขาต้องการ
“พวกเรา…..” หลิวอี้เผิงรู้สึกว่าเสียงของตัวเองถึงกับสั่นเล็กน้อยแล้ว “พวกเราพอจะนับได้ว่า ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจในชีวิตได้แล้วหรือไม่?”
โจวเม่าตบไหล่เขา เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีที่คล้ายคนที่ชอบเข้าสังคมอย่างยิ่ง น้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “ไม่ พวกเราต้องยิ่งพยายามให้หนักขึ้น เพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบครั้งนี้ พวกเราต้องใช้ความสามารถของพวกเราพิสูจน์ให้อู๋ซ่างหวงทรงเห็น ว่าพวกเราเป็นคนที่สามารถทำประโยชน์ให้แก่ราชสำนักได้”
ทั้งสี่คนพยักหน้าพร้อมกัน ดวงตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้