บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1868 เจ้าอยากให้ข้าเป็นทรราช
หยู่เหวินหลี่คิดว่า ในเมื่อพวกน้องชายน้องสาวยังอยู่ในเมืองหลวง อย่างไรพวกเขาก็ต้องออกไปเที่ยวเล่นกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว ก็ถือโอกาสพาเจ้าหญิงเฉาหยางไปด้วยก็ไม่เลว
ติดอยู่แค่ว่านาง…… หยู่เหวินหลี่อดลอบมองนางอีกครั้งไม่ได้ รู้สึกว่าเคยเห็นนางจากที่ไหนสักแห่ง? หน้าตาช่างดูคุ้นเคยอะไรอย่างนี้
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ เจ้าหมาป่าของซาลาเปาก็เดินวางมาดใหญ่โตเข้ามาในห้องโถง
เจ้าหญิงเฉาหยางได้เห็นหมาป่าซาลาเปา ก็ส่งเสียงร้องเรียกอย่างยินดี รีบพุ่งเข้าไปกอดเจ้าหมาป่าซาลาเปาแบบเต็มรัก “พี่หมาป่าซาลาเปา ข้าคิดถึงเจ้าแทบตายแล้ว”
ครั้งนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้หยุดนางไว้ ภายใต้สายตาที่สงสัยเคลือบแคลงของลูกชายที่มองดู นางทำได้แค่หลุดยิ้มกระอักกระอ่วนออกมาเท่านั้น
การตอบสนองของหมาป่าซาลาเปาก็ดูตื่นเต้นยินดีมากเช่นกัน มันกดอุ้งเท้าลงไปบนไหล่ของเจ้าหญิงเฉาหยาง หัวโน้มลงต่ำตลอด ส่งเสียงที่ฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่ามีความสุขมาก
หยู่เหวินหลี่มองดูภาพฉากนี้ ทั้งได้เห็นภาพจิ้งจอกสีแดงเพลิงบนกระโปรงของเจ้าหญิงเฉาหยางซึ่งกางแผ่สยายอยู่บนพื้น ทันใดนั้น เขาก็เหมือนจะตระหนักถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ความคิดคำนึงหมุนวนกลับไปกลับมา ในใจพลันเจ็บหน่วง ที่แท้เจ้าตาทับทิมก็กลับมาแล้ว
เจ้าตาทับทิมยังถึงกับเปลี่ยนร่างเป็นเด็กสาวคนหนึ่งอีกด้วย
แต่ว่าแม่ไม่ได้บอกเขาเอง ถ้าอย่างนั้นเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไปก่อนแล้วกัน
อันที่จริงแล้วในใจเขารู้สึกตื่นเต้นยินดีมาก แต่ตอนนี้เขาแค่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างแม่ มองดูเจ้าตาทับทิมกับหมาป่าซาลาเปากอดกันกลม ยังยิ้มให้แล้วพูดขึ้นด้วยว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าหญิงเฉาหยางจะชอบเจ้าหมาป่าหิมะขนาดนี้”
ในใจของลูกชายคิดอะไรอยู่ คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีที่สุด นางหันหน้าไปมองลูกชาย ในใจรู้สึกชื่นชมอย่างมาก เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? ก็ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่พบเจอความสุขหรือโกรธเคืองก็ไม่แสดงออกทางสีหน้าได้แล้ว
ถ้าเป็นเด็กในครอบครัวคนธรรมดา แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่เพราะเขาต้องเป็นฮ่องเต้ในอนาคต จะปล่อยให้คนอื่นมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ไม่ได้เด็ดขาด
นางยื่นมือออกไป จับมือของลูกชายไว้มั่น “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“มีความสุข” หยู่เหวินหลี่มองแม่แล้วยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่สดใสเจิดจ้าเสียจนทำให้ทุกอย่างในห้องโถงดูไร้สีสันไปโดยปริยาย
หยวนชิงหลิงตบ ๆ ที่หลังมือลูกชายเบา ๆ จากนั้นก็จับไว้ด้วยกันจนแน่น “มีความสุขก็ดีแล้ว”
“พี่ใหญ่มีเรื่องอะไรดี ๆ ถึงได้มีความสุขหรือ?”
ทันทีที่เสียงอันไพเราะอ่อนหวานดังขึ้น ก็เห็นเจ๋อหลานซึ่งแต่งกายด้วยชุดผ้าต่วนลายริ้วเมฆสีเหลืองอ่อนเดินเข้ามาในห้องโถง
ผมของนางถูกรวบเป็นมวยง่าย ๆ แล้วมัดด้วยเชือกรัดผมสีชมพู สายเชือกรัดสีชมพูทิ้งตัวลงมาจากทั้งสองข้าง คลอเคลียอยู่ระหว่างติ่งหูของนาง ใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวผ่องผุดผาดดูมีสง่า ใต้ตาเป็นประกายมีการแต่งสีออกดำ รอยยิ้มกว้างแผ่ไปทั่วใบหน้าอันงดงาม ที่หว่างคิ้วมีการวาดรูปดอกเหมยลงไป แต่งหน้าเป็นสีแดงอ่อน ๆ ซึ่งช่วยขับเน้นให้ผิวยิ่งดูขาวพิสุทธิ์ดุจดั่งหิมะ
นางเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องโถง ก็เห็นเจ้าหญิงเฉาหยาง ทั้งสองคนดูเหมือนจะรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงจับมือกันแล้วพูดอย่างยินดีว่า “เฉาหยาง เจ้าอยู่ที่นี่เองหรอกรึ? ข้าตามหาเจ้าตั้งนาน”
เด็กสาวสองคนที่อายุไล่เลี่ยกันยืนอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์ ส่วนสูงของทั้งสองพอ ๆ กัน คนหนึ่งดูบริสุทธิ์ราวกับดอกลิลลี่ที่เบ่งบานอยู่บนภูเขา ส่วนอีกคนเป็นเหมือนดอกเหมยภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาว เผยกลิ่นอายของความสดใสอบอุ่นอ่อนละมุน
บอกไม่ได้ว่าใครที่งดงามกว่ากัน แต่ทั้งสองล้วนเปล่งประกายงามสง่าดั่งหยกขาว ทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้
“ข้าดีใจที่ได้เจอพี่ซาลาเปา แล้วก็ได้เจอหมาป่าซาลาเปาด้วย” เจ้าหญิงเฉาหยางไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นของนางได้ น้ำตาแทบจะรินไหลออกมาให้ได้แล้ว
เจ๋อหลานยื่นนิ้วออกไปเช็ดหยาดน้ำตาที่สุกใสราวดวงแก้วคริสตัลจากมุมตาของนาง พูดพลางหัวเราะว่า “ถ้าอย่างนั้น วันพรุ่งนี้เราออกไปเที่ยวนอกวังด้วยกันดีหรือไม่?”
“ดี ดี!” จู่ ๆ เจ้าหญิงเฉาหยางก็หันไปมองหยู่เหวินหลี่ ดวงตาที่ดำขลับเหมือนหินออบซิเดียนเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่กลับถามอย่างระมัดระวังว่า “ได้หรือไม่? ท่านต้องฝึกทหารหรือไม่?”
หัวใจของหยู่เหวินหลี่อ่อนยวบ จ้องมองด้วยแววตาสดใส ส่ายหน้าพลางยิ้มแย้ม “ไม่ต้องหรอก ออกไปเที่ยวเล่นได้”
“เยี่ยมไปเลย!” เจ้าหญิงเฉาหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข
หมาป่าซาลาเปาก็รู้สึกว่าเยี่ยมไปเลยเช่นกัน วิ่งหมุนตัวเป็นวงกลม ประเดี๋ยวก็วิ่งไปหาหยู่เหวินหลี่ ประเดี๋ยวก็วิ่งไปหาเจ้าหญิงเฉาหยาง ประเดี๋ยวก็วิ่งไปซุกไซร้ที่ปลายเท้าของเจ๋อหลาน แลดูตื่นเต้นอย่างสุดจะพรรณนา
พูดไม่ได้นี่มันช่างเสียเปรียบจริง ๆ เลย
หลังจากที่เด็ก ๆ ออกไปเที่ยวกันแล้ว หยวนชิงหลิงก็นั่งอยู่ในตำหนักเพียงลำพัง หันไปแต่งหน้าแต่งตัวช้า ๆ หน้ากระจกทองแดง
หลายปีที่ผ่านมา นางแทบไม่ค่อยแต่งหน้า แต่ถ้าได้แต่ง จะตั้งใจแต่งให้สูงวัยที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่มาตอนนี้ เมื่อได้เห็นเด็ก ๆ ในวัยนี้พูดคุยหัวเราะล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน นางก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ หันมาแต่งหน้าแต่งตัวที่หน้ากระจก ทำให้เจ้าห้าตกตะลึงจนตาค้างสักหน่อยคงไม่เลว
ผิวของนางยังดีมาก ชุ่มชื้นเนียนนุ่ม เส้นผมเงางาม ดำขลับเรียบลื่น ทรวดทรงองค์เอวก็ยังดีมาก เอวบางคอดกิ่ว หน้าอกเต่งตึง
ล่าสุดเพราะงานแต่งตั้งรัชทายาททำให้ทุกคนยุ่งกันตลอดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สองคนสามีภรรยาได้แต่คุยกันถึงเรื่องงานพิธีจนดึกดื่นค่อนคืน ไม่มีเวลาใส่ใจดูแลความรักระหว่างกันและกันเลย
ใช้เวลาไปครึ่งชั่วยามในการแต่งตัวหน้ากระจก แม้ว่าความงามที่แต่งเติมด้วยเครื่องประทินผิว จะไม่งามบริสุทธิ์เท่าความงามตามธรรมชาติ แต่ความจริงใจมีให้เต็มสิบ
ปกติเจ้าห้ามักจะกลับมาตอนเที่ยงเพื่อกินข้าว กับงีบหลับช่วงกลางวันครู่หนึ่ง นางเพิ่งแต่งหน้าเสร็จ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
นางหันหน้ากลับไป เผยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม เจ้าห้าที่เพิ่งเปิดม่านเข้ามาพลันเบิกตากว้าง เขาเหลียวกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็วิ่งออกไปปิดประตูตำหนัก แล้วค่อยวิ่งกลับมาอีกครั้ง
“เจ้าอยากให้ข้าเป็นทรราชรึ!” เขาคว้าตัวนางเข้ามากอดเต็มอ้อมแขน กดจูบที่ร้อนแรงแฝงความเสน่หาจนนางหายใจหายคอไม่ทัน