บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1869 ไปปีนเขา
เด็ก ๆ นัดหมายกันว่าจะไปปีนเขา ซาลาเปาเป็นคนพูดเองว่าพวกเขาอยากพิชิตยอดเขา แล้วถือโอกาสพาหมาป่าหิมะกลับไปบ้านเกิดด้วย
ยอดเขาหมาป่าหิมะอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล แม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน ภูเขาก็ยังค่อนข้างเย็น อีกทั้งเส้นทางบนภูเขาก็อันตราย ก่อนออกเดินทาง หยวนชิงหลิงจึงกำชับแล้วกำชับอีก ว่าให้ระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุ
ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะความชอบจ้ำจี้จ้ำไชของคนเป็นแม่แบบหยวนชิงหลิง แต่เพราะจริง ๆ แล้วยอดเขาหมาป่าหิมะไม่ใช่สถานที่ธรรมดา คนตระกูลหยู่เหวินแห่งเป่ยถังเคยต้องอยู่ที่นั่นอย่างยากลำบากมาก่อน และที่สำคัญที่สุด มันคือสถานที่แห่งพลังวิญญาณ อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นสถานที่ที่หมาป่าหิมะเกิดและเติบโต มันจะต้องเต็มไปด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ผิดไปจากปกติธรรมดาแน่
ตอนแรกนางไม่อนุญาต แต่เพราะไม่อาจทนต่อคำวิงวอนของเด็ก ๆ ได้ ถึงได้ยอมตอบตกลงในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ เจ้าห้าจึงฉวยโอกาสนี้ว่านาง ว่าแต่ก่อนเวลาเขาตามใจเด็ก ๆ นางชอบว่าเขา แต่ตอนนี้ กลับกัน กลายเป็นว่าได้เจอเองจัง ๆ เจอเองแบบจัง ๆ เลยทีเดียวเชียวล่ะ
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าช่วงนี้เจ้าห้าคล้ายจะมีอาการวอนมือวอนเท้าขึ้นทุกขณะ จึงตัดสินใจใช้ไม้ปราบผัวที่อู๋ซ่างหวงประทานให้สักหน่อย
เจ้าห้าถึงกับต้องกระโดดหนี ไอ้ของเจ้ากรรมนั่นยังไม่ถูกโยนทิ้งไปอีกรึ?
เพราะครั้งนี้พาเจ้าตาทับทิมไปด้วย เจ้าตาทับทิมเป็นเจ้าหญิงแห่งแคว้นต้าซุ่น ดังนั้นทุกคนจึงพร้อมใจกันปกป้องเจ้าตาทับทิมประหนึ่งว่าเป็นภารกิจสำคัญ
ตอนที่ออกเดินทาง เจ๋อหลานยังคงจับมือเจ้าตาทับทิมไว้ บอกให้นางตามหลังมาอย่างใกล้ชิด อย่าทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย เจ้าตาทับทิมดวงตาฉายแววตื่นเต้น แต่นางก็เชื่อฟังดีมาก “เจ๋อหลานวางใจเถอะ ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกคำเลย”
สายตาของนางเอาแต่จับจ้องไปที่พี่ซาลาเปาไม่หยุด พี่ซาลาเปากับพี่ทังหยวนต่างก็ขี่ม้าอยู่ด้านนอก บางครั้งก็จะคอยหันมองกลับมาที่รถม้าเป็นระยะ ๆ ม่านของรถม้าถูกม้วนขึ้น จึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทุกครั้งที่พี่ซาลาเปาหันหน้ามา นางจะมีความสุขมาก ส่งยิ้มให้เขาอย่างสดใส
หยู่เหวินหลี่ก็ยิ้มด้วย รอยยิ้มเต็มไปด้วยความเอ็นดู เขาไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงของเจ้าตาทับทิมให้น้องชายกับน้องสาวรู้ แต่พวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่มีพลังเหนือมนุษย์ จึงมองออกนานแล้ว เพราะว่าเจ้าตาทับทิมมีดวงตาที่งดงามเป็นพิเศษ เมื่อมองไปที่ดวงตาของเฉาหยาง ก็ยากที่จะไม่พลอยนึกไปถึงเจ้าตาทับทิมด้วย
แต่ทุกคนก็ไม่พูดความลับนี้ออกมา ในเมื่อตัวเจ้าตาทับทิมเองก็ไม่คิดจะพูด เพราะถึงอย่างไรนางก็คิดว่าพี่ซาลาเปาจะต้องจำนางได้อย่างแน่นอน ส่วนทุกคนก็จะต้องจำนางได้ด้วยแน่นอน ก็เพราะนางคือเจ้าตาทับทิมอย่างไรล่ะ
ติดอยู่แค่ เจ้าตาทับทิมที่กลายเป็นมนุษย์ ยังไม่ค่อยชินกับการเดินสองขา จึงเดินได้ค่อนข้างช้า ออกจะงุ่มง่ามเล็กน้อย
ตอนที่ขึ้นไปบนภูเขา เจ๋อหลานช่วยดูแลนางอย่างใกล้ชิด หยู่เหวินหลี่เดินตามอยู่ข้างหลังนาง เพื่อคอยป้องกันไม่ให้นางล้ม
ทางขึ้นเขานั้นเดินยากเป็นพิเศษ สามารถพูดได้ว่าไม่มีถนนที่สมบูรณ์ บวกกับเมื่อวันก่อนมีฝนตก จึงทำให้พื้นเปียกแฉะและลื่น
เจ้าตาทับทิมเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเรื่อย ๆ นางรู้สึกรำคาญใจมาก
เมื่อครู่ตอนที่เจ๋อหลานเตือนนาง นางยังรู้สึกว่าตัวเองสามารถปีนเขาเองได้ ทั้งยังน่าจะปีนได้ดีกว่าคนอื่น ๆ ด้วย
เพราะนางมักจะตามซาลาเปาไปวิ่งจนทั่วภูเขาอยู่เสมอ ตอนที่อยู่แถว ๆ ค่ายทหารก็ไปวิ่งเกือบทุกวัน แต่มาตอนนี้ พอใช้สองขาเดินขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขา กลับยากเสียจนไม่น่าเชื่อ
นางเริ่มจะหงุดหงิด คิดอยากจะเปลี่ยนกลับไปเป็นจิ้งจอก แต่นางทำแบบนั้นไม่ได้ นางต้องเอาชนะความยากลำบากนี้ให้ได้ เพราะนางอยากเป็นเหมือนกับพวกพี่ซาลาเปาในอนาคต
“พี่ใหญ่ หรือไม่พี่ก็แบกเฉาหยางไว้บนหลังดีหรือไม่?” เมื่อเจ๋อหลานเห็นนางเดินอย่างยากลำบาก จึงอดหันไปมองพี่ชายพลางเอ่ยถามไม่ได้
หยู่เหวินหลี่หันไปมองเจ้าตาทับทิม “เจ้าเดินได้หรือไม่? ถ้าได้ ก็ฝืนเดินต่อไปอีกหน่อย ถ้าเดินไม่ได้ ข้าค่อยแบกเจ้าไป เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เจ้าตาทับทิมมองไปที่ภูเขาสูงตระหง่านตรงหน้า แต่กลับค่อย ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ “ข้าไม่ต้องการให้พี่แบก ข้าจะเดินไปด้วยตัวเอง”
“ไหวจริง ๆ น่ะรึ?” หยู่เหวินหลี่ถามอีกครั้ง
“ไหวสิ!” เจ้าตาทับทิมพยักหน้ารับหนักแน่น แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจริงใจ “ข้าไม่เหนื่อย แค่เดินช้านิดหน่อย หรือไม่พวกเจ้าก็ขึ้นไปก่อน ข้าจะเดินตามไปช้า ๆ”
“ไม่ พวกเราจะเดินไปกับเจ้าช้า ๆ” หยู่เหวินหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม ดวงตาฉายแววชื่นชมอย่างมาก
“เฉาหยาง พวกเราจะเดินไปด้วยกันกับเจ้าอย่างช้า ๆ พวกเราไม่ได้รีบ ถ้าวันนี้เราไม่สามารถขึ้นไปถึงบนยอดเขา เราก็จะตั้งค่ายที่ทางราบหมาป่า กันสักคืน” ทังหยวนพูด
“ใช่ พวกเราจะเดินไปด้วยกันอย่างช้า ๆ ไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะ” ข้าวเหนียวก็พูดแบบเดียวกัน
เจ้าตาทับทิมมีความสุขอย่างยิ่ง ทั้งยังซาบซึ้งเหลือเกิน “ข้าจะลองเดินให้เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้พวกเจ้าต้องรอนานเกินไป”
หยู่เหวินหลี่มองนางแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องพยายามเดินให้เร็วขึ้นหรอก ลองพยายามเดินให้มั่นคงก่อน ไม่ต้องรีบร้อน เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว” ลูกคางสวยได้รูปของเจ้าตาทับทิมพยักรับครั้งหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้น พี่ซาลาเปาเดินนำข้างหน้า ข้าจะตามท่านไป”
“ไม่ ข้าจะอยู่ข้างหลังเจ้าเอง จะได้เฝ้าดูเจ้าได้” หยู่เหวินหลี่กลัวว่านางจะหกล้ม ดังนั้นจึงยืนกรานที่จะเดินตามข้างหลังแทน
“พี่ใหญ่ หรือไม่ท่านก็จับมือฉื้อ….เฉาหยางไว้ดีหรือไม่?” เจ๋อหลานปล่อยมือนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าอยากขึ้นไปวิ่งข้างบนสักพัก แล้วค่อยวิ่งกลับมารวมตัวกับทุกคน”
“ไปเถอะ แม่สาวน้อย!” หยู่เหวินหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม รู้ว่าเวลาที่น้องสาวออกมาข้างนอก นางไม่สามารถแสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยมเรียบร้อยได้ “พาหมาป่าหิมะกับเจ้าเสือออกไปวิ่งด้วยสิ ให้เหงื่อออกเสียหน่อย”
เขาพูดพร้อมกับจับข้อมือของเจ้าตาทับทิม ยิ้มให้กำลังใจนาง แล้วพูดว่า “ข้าจะช่วยประคองเจ้าเอง เจ้าค่อย ๆ เดินช้า ๆ ก็ได้”