บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1870 ภาพฉากที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1870 ภาพฉากที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
ในใจเจ้าตาทับทิมมีความสุขอย่างยิ่ง คิดถึงช่วงเวลาที่ตัวเองเคลียเคล้าแนบชิดอยู่ในวงแขนของซาลาเปา ก็ใกล้ชิดกันขนาดนี้เช่นกัน
“ที่ค่ายทหารตอนนี้ยุ่งหรือไม่?” นางเอียงหน้ากลับไปถาม ใบหน้าขาวผ่องเต็มไปด้วยรอยยิ้มพอใจ
“ยังพอไหว ช่วงนี้ข้าไม่ได้ไปที่ค่ายทหารแล้ว เสด็จพ่อให้ข้ามาเรียนรู้การทำงานที่เมืองหลวง” ซาลาเปาพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าจะไม่กลับไปที่ค่ายแล้วหรือ?” เจ้าตาทับทิมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันมองเขา “ไม่กลับไปก็ดีนะ ค่ายทหารเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ท่านต้องเหนื่อยมากทุกวันเลย”
นางได้แต่รู้สึกสงสารเขาอยู่เสมอ
“ไม่เหนื่อยหรอก!” ริมฝีปากของเขายกขึ้นน้อย ๆ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนหลังกลับจากทำงาน นางจะรีบพุ่งออกไปต้อนรับเขา วิ่งวนไปรอบ ๆ ตัวเขาหลาย ๆ รอบ จากนั้นค่อยไปเอนกายแนบชิดเขา เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ แววตานั้นช่างเหมือนกับว่ามีอะไรมากมายที่อยากจะพูดด้วย
เขาเองก็เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้ามันพูดได้ ตอนนี้มันอยากจะพูดอะไร?
ตอนนี้ก็ยังเป็นแววตาแววนั้นเหมือนเดิม แท้จริงแล้ว นางเพียงแค่ห่วงใยเขาเท่านั้น
นี่ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว
เจ้าตาทับทิมคุยกับเขาอยู่เนิ่นนาน พูดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นในทุกวันที่ผ่านมา เรื่องที่ไม่เคยได้พูดก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีโอกาสแล้ว จึงพูดออกมาทั้งหมดในคราวเดียว
แต่เพราะคำศัพท์ที่นางรู้ค่อนข้างจำกัด บ่อยครั้งที่ต้องหยุดคิดก่อน ถึงจะพูดออกมาได้
แต่อันที่จริง ไม่ว่านางจะพูดอะไร หยู่เหวินหลี่ก็สามารถฟังได้เข้าใจทั้งหมด ระหว่างทางเขาแทบไม่พูดอะไร แค่ตั้งใจฟังที่นางพูดเท่านั้น
น้องชายหันไปมองพวกเขา ทังหยวนอดพูดพลางหัวเราะไม่ได้ว่า “ที่เขาว่ากันว่า หากมีวาสนาห่างกันพันลี้ยังได้พบหน้า แต่หากไร้ซึ่งวาสนา แม้อยู่เพียงตรงข้ามก็ไม่อาจได้พานพบ ได้รับการยืนยันแล้วสินะ”
“นี่ไม่ใช่เพราะมีวาสนา อยู่ห่างกันพันลี้ยังได้มาพบหน้าหรอกหรือ? วาสนามาแล้ว ต่อให้อยากหยุดก็หยุดไม่อยู่หรอกนะ” ข้าวเหนียวก็หันไปมองด้วย ภาพฉากนี้ช่างเจริญตาเจริญใจนัก หนุ่มหล่อกับสาวสวย เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
เจ๋อหลานพาพวกหมาป่าหิมะไปวิ่งเสร็จแล้วกลับมา เหนือหัวของพวกเขา เจ้าฟีนิกซ์น้อยสยายปีกเหินบิน เจ๋อหลานเหนื่อยจากการวิ่ง หอบใจหอบฮั่ก ๆ แต่เจ้าเสือ หมาป่าหิมะ กับเจ้าฟีนิกซ์น้อยที่อยู่ข้างหลังกลับมีความสุขสุดขีด วิ่งจนหมดมาดของสัตว์ผู้มีปัญญาอันเจริญแล้วไม่มีเหลือ
เจ้าตาทับทิมได้เห็นแล้ว รู้สึกอิจฉาอย่างยิ่ง แทบอดใจไม่ไหวอยากจะแปลงร่างเป็นจิ้งจอกน้อย แล้ววิ่งตะบึงตามพวกเขาขึ้นไปบนยอดเขาให้สุดแรงจริง ๆ
ภูเขาแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีหรือจะทำให้นางเจอความลำบากได้?
“เจ้าอยากไปวิ่งหรือ?” หยู่เหวินหลี่ได้เห็นความอิจฉาในแววตาของนาง จึงเอ่ยถาม
“อยาก!” เจ้าตาทับทิมพยักหน้าอย่างรวดเร็ว มองดูเขาอย่างกระตือรือร้น
“แต่ว่าไม่ได้” หยู่เหวินหลี่ยิ้มละไม ละลายความคิดของนางอย่างอ่อนโยน “ยังต้องเดินช้า ๆ ไปก่อนนะ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเจื่อนลงทันที “เฮ้อ ข้าก็นึกว่าพอจะทำได้เสียอีกนะ”
หยู่เหวินหลี่ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มของนางเบา ๆ “อย่างไรก็ต้องเดินต่อ อย่าโลภ ถ้าล้มไปจะทำอย่างไรล่ะ?”
“ก็ได้!” เจ้าตาทับทิมหลุบดวงตาลง ซ่อนความผิดหวัง แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น นางรู้ความ มีเหตุมีผล ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังคำเตือน ถ้าวิ่งก็อาจทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ และนางอาจเรียนรู้การเดินได้ไม่ดีไปกว่านี้อีกด้วย
“เฉาหยาง ตอนนี้ข้าวิ่งจนเหนื่อยแล้ว จะเดินกับเจ้าช้า ๆ นะ” หลังจากเจ๋อหลานได้วิ่งไปรอบหนึ่ง ก็รู้สึกสบายใจอย่างสุดจะพรรณนา จึงกลับมาเดินช้า ๆ ไปกับทุกคนอย่างว่าง่าย
เดิมทีจุดหมายปลายทางกำหนดไว้ว่าเป็นยอดเขา แต่เพราะอันที่จริงแล้ว คณะเดิน ๆ หยุด ๆ ไปตลอดทาง แวะชมทิวทัศน์บ้างก็ไม่เลว พูดคุยเล่นหัว สนุกสนานเฮฮา เวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ไปถึงทางราบหมาป่า ก็ล่วงเข้าสู่ช่วงใกล้จะพลบค่ำแล้ว
พอถึงตอนกลางคืนอุณหภูมิจะลดต่ำ จึงไม่สามารถไปต่อได้เป็นการชั่วคราว จำต้องตั้งค่ายพักแรมที่ทางราบหมาป่า
ทุกคนเตรียมของมาด้วยพร้อม มีทุกอย่างทั้ง ของกิน เสื้อผ้า และที่หลับที่นอน
เจ้าตาทับทิมมีความสุขที่สุด เพราะนางไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ และแน่นอนว่านางเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะนางทำไม่เป็น
หยู่เหวินหลี่ให้นางนั่งอยู่เงียบ ๆ พักขา ทั้งยังสอนวิธีนวดผ่อนคลาย ไม่อย่างนั้นพอถึงตอนกลางคืน ไม่แน่ว่านางอาจจะรู้สึกปวดขาได้
หลังจากตั้งค่ายพักเสร็จ ก็เตรียมอุปกรณ์ย่างเนื้อกัน พวกเด็ก ๆ หิวมาก แทบจะกลืนเนื้อทั้งชิ้นเข้าไปแบบคำเดียวหมด
เจ้าตาทับทิมได้กลิ่นหอมลอยมาก็นึกอยากกินให้เยอะ ๆ หน่อย แต่หยู่เหวินหลี่กลับให้เนื้อแก่นางเพียงชิ้นเดียว ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณฝ่ามือ ยังบอกด้วยว่ากินแค่นี้ก็พอแล้ว
ทุกคนแทบจะทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ต่างก็ตำหนิว่าพี่ใหญ่ขี้เหนียว ควรให้เฉาหยางกินเยอะกว่านี้หน่อย แต่หยู่เหวินหลี่ก็ยืนกรานว่านางกินได้แค่นี้จริง ๆ
แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าตาทับทิมก็เชื่อฟังคำพูดของซาลาเปามาโดยตลอด แม้ว่าจะยังอยากกินอีก แต่ก็ฝืนห้ามใจไว้
แต่หยู่เหวินหลี่ก็ไม่ได้กินมากมายเหมือนกัน หลังจากวางลงก็ไปนั่งกับเจ้าตาทับทิม หยิบขวดโหลใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ เทยาเม็ดหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้นาง “นี่คือสิ่งที่ก่อนจะมา ข้าไปถามขอมาจากสาวใช้ของเจ้า นางบอกว่าเจ้าจำเป็นต้องกินยานี้”
เจ้าตาทับทิมส่งเสียงตอบรับเสียงหนึ่ง “จริงด้วย ข้าต้องกินยา ข้าเกือบจะลืมไปแล้วเชียว”
พูดจบ ก็แลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน แล้วรีบเอาเม็ดยาเข้าปาก จากนั้นก็กลืนเข้าไปทันที
หยู่เหวินหลี่ขยี้เส้นผมของนางอย่างเอ็นดู “เด็กดี!”
เจ้าตาทับทิมเอนหัวลงไปซบบนไหล่ของเขา มองดูลำแสงของพระอาทิตย์ตก ที่ความมืดค่อย ๆ ปกคลุมช้า ๆ เมฆสีส้มสลัวที่เส้นขอบฟ้าแลดูงามจับตาเป็นพิเศษ กระจายออกไปราวกับผ้าไหมผืนใหญ่ที่ห่มคลุมท้องฟ้า
หมาป่าซาลาเปาก็เดินเข้ามาเงียบ ๆ แล้วขดตัวลงนอนข้าง ๆ พวกเขา มองดูแสงตะวันสีทองที่ค่อย ๆ เลือนหายไป เป็นภาพฉากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างแท้จริง