บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1871 เจ้าตาทับทิมอยากแต่งให้พี่ซาลาเปา
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1871 เจ้าตาทับทิมอยากแต่งให้พี่ซาลาเปา
ตอนกลางคืน เด็ก ๆ ก็ไม่ได้นอน ก่อกองไฟย่อม ๆ กองหนึ่ง แล้วนั่งล้อมวงคุยกันรอบกองไฟ
เพราะโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้หายากมาก หยู่เหวินหลี่จึงเสนอความเห็นให้ทุกคนพูดถึงอนาคตที่ตัวเองมุ่งหวัง
อันที่จริง เรื่องในอุดมคติของทุกคนเป็นสิ่งก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างก็เคยพูดถึงกันหมดแล้ว ตัวอย่างเช่น หยู่เหวินหลี่อยากจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี ทังหยวนอยากจะเป็นพ่อค้าที่ดี เซเว่นอัพกับโค้ก คนหนึ่งอยากสร้างภาพยนตร์ ส่วนอีกคนอยากทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มีแค่ข้าวเหนียวคนเดียว ที่เดี๋ยวก็อยากเป็นหมอ แต่ก็ไม่ได้อุทิศตนไปศึกษาด้านการแพทย์ เดี๋ยวก็อยากเป็นจอมยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นในการเรียนวรยุทธ์ ทุกครั้งที่เขาพูดในสิ่งที่เขาอยากจะทำ มักจะกระตือรือร้นได้อยู่ประมาณสามนาที แต่กลับไม่ได้ยืนหยัดต่อสิ่งนั้นไปจนถึงที่สุด
หยู่เหวินหลี่คิดว่า นี่เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองอยากทำอะไร จึงเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนต่ออนาคตของตน
เขาพูดกับข้าวเหนียวว่า “เป็นคนจำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต จากนั้นเราค่อยก้าวไปสู่เป้าหมายนั้นจนสำเร็จ ทุกสิ่งที่เจ้าทำไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่หมุนรอบเป้าหมายนี้เสมอไป แต่อย่างน้อยที่สุด ควรจะมีเรื่องหนึ่งที่เจ้าอยากทำอย่างจริงจังเสียก่อน เจ้าลองคิดดูดี ๆ ว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่? ลองคิดดูดี ๆ อีกที”
ข้าวเหนียวยกมือขึ้นเท้าคาง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เมื่อไหร่ก็ตามที่พูดถึงเรื่องอุดมคติ เขามักเป็นคนที่อยู่รั้งท้ายสุดเสมอ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพยายามยืนหยัดขึ้นมา แต่ก็อย่างที่ทุกคนพูดจริง ๆ เขายืนหยัดไปได้ไม่สุด พอวิเคราะห์ไปถึงขั้นสุดท้าย เขาก็ไม่ได้รักในสิ่งนั้นมากพอ
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เขาคิดอยากเรียนหมอเป็นพิเศษ เพราะเขาอยากสืบทอดภาระงานของแม่ รักษาโรคและช่วยชีวิตคนเหมือนอย่างที่แม่ทำ แบบนั้นชีวิตคงจะเต็มไปด้วยความสุขและอิ่มเอม
แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาจะเรียนจริง ๆ ในใจกลับรู้สึกว่าอนาคตต้องถูกกำหนดแบบนี้แล้วจริง ๆ น่ะหรือ? การรักษาความเจ็บป่วยและช่วยชีวิตผู้คนเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่า มีเขาเพิ่มไปหนึ่งคนก็ไม่นับว่ามาก มีเขาน้อยลงไปหนึ่งคนก็ไม่นับว่าน้อยนี่นา
พอคิดว่าอยากช่วยงานด้านจัดการปัญหาในบ้านเมือง อย่างน้อยก็สามารถช่วยเสด็จพ่อกับพี่ชายได้ในอนาคต แต่เมื่อถึงเวลารวบรวมแรงใจเพื่อจะลงมือทำ ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่น่ะสิ
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เป็นอย่างนี้ไปเสียทุกอย่าง ตัวเขาก็หนักใจเหมือนกัน
เขามองไปที่เจ๋อหลาน แล้วถามว่า “น้องสาว เจ้าอยากทำอะไรในอนาคตหรือ?”
เจ๋อหลานยิ้ม “ข้าน่ะรึ? ข้าคิดถึงอะไร ข้าก็จะทำอันนั้น”
นางเป็นคนง่าย ๆ ตรงไปตรงมา อีกทั้งไม่ต้องแบกรับภาระใดๆ ไว้บนบ่าทั้งนั้น พวกพี่ชายของนางแต่ละคนโดดเด่นยอดเยี่ยมเหลือเกินแล้ว ไม่มีอะไรที่นางต้องเป็นห่วงเลย
ให้นางใช้ชีวิตอย่างอิสระ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข เพราะความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกคนในครอบครัวที่มีต่อนาง ก็คือการที่นางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวัน
แต่ตอนนี้ นางยังไม่สามารถทำได้ถึงขั้นเป็นอิสระไร้กังวลได้ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องถูกกดทับระงับไว้
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าอยากทำอะไร?” เจ๋อหลานสะกิด ๆ เจ้าตาทับทิมที่อยู่ข้าง ๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
เจ้าตาทับทิมนั่งพิงอยู่ข้าง ๆ ซาลาเปา ดวงตากลมโตดำขลับไร้การเสแสร้งเบิกกว้าง “ข้าอยากแต่งให้พี่ซาลาเปา แล้วคลอดซาลาเปาน้อยกับจิ้งจอกน้อยให้เขาเยอะ ๆ เลย”
ทุกคนต่างตกตะลึงอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยหลุดหัวเราะออกมา อย่างเจ้าตาทับทิมนี่ต่างหากที่เรียกว่าตรงไปตรงมาของจริง
หยู่เหวินหลี่ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน ได้เห็นดวงหน้าอันงดงามของเจ้าตาทับทิมที่เวลานี้สะท้อนกับแสงไฟจนดูเป็นประกาย ในใจก็พลันรู้สึกอบอุ่น
“เจ้าตาทับทิม!” เจ๋อหลานเรียกชื่อนางออกมาเลยตรง ๆ เพราะอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบัง “เจ้าอยากแต่งให้พี่ใหญ่จริง ๆ น่ะหรือ? พี่ใหญ่มีดีตรงไหนบ้าง?”
เจ้าตาทับทิมพูดอย่างจริงจังมากว่า “ดีหมดทุกอย่างเลย”
“ดีขนาดไหนรึ?” ข้าวเหนียวก็ถามเชิงหยอกล้อ
เจ้าตาทับทิมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดีเหมือนกันกับหมาป่าซาลาเปาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า แต่งให้กับหมาป่าซาลาเปาก็ดีเหมือนกันน่ะสิ?”
เจ้าตาทับทิมก้มหน้าลงมองหมาป่าซาลาเปา แล้วค่อยหันมามองพี่ซาลาเปา เห็นดวงตาที่ดำขลับดั่งน้ำหมึก อ่อนโยนดูจับใจผู้คน หัวใจของนางก็เต้นโครมครามไม่หยุด ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ ข้าจะแต่งให้พี่ซาลาเปาเท่านั้น”
“พี่ใหญ่ พูดอะไรสักหน่อยสิ” ทังหยวนพูดหยอกเย้า
ทุกคนมองไปที่หยู่เหวินหลี่เป็นตาเดียวกัน ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรในทำนองถูกตามครรลองคลองธรรมออกมาหรือไม่? เพราะอย่างไร เจ้าตาทับทิมก็เรียกได้ว่ายังไม่รู้ความ ที่พูดว่าจะแต่งให้เขาก็อาจเป็นแค่คำพูดไม่ประสีประสา
ด้วยนิสัยของพี่ใหญ่ จะต้องตำหนิพวกเขาแน่ แล้วปรามไม่ให้พวกเขาพูดจาไร้สาระ
แต่กลับเห็นข้อมือของเขาเลื่อนไปวางอยู่บนตัก จ้องมองเปลวไฟที่ปะทุไหวตรงหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าช้า ๆ “ได้!”
บรรดาน้องชาย น้องสาว เจ้าเสือ หมาป่า เจ้าฟินิกซ์น้อย ต่างพากันเบิกตากว้างอย่างเหนือคาด
ได้เหรอ? ไม่ใช่ว่าฟังผิดไปใช่หรือไม่? แม่หนูน้อยเจ้าตาทับทิมพูดเรื่องเล่น ๆ แต่เขากลับตอบว่าได้ ?
นี่ยังเป็นพี่ใหญ่ หนุ่มน้อยที่แสนรอบคอบคนนั้นอยู่หรือเปล่าเนี่ย?
สีหน้าของทังหยวนเปลี่ยนแปลงไปมาดูซับซ้อนสับสนสิ้นดี มองไปที่แววตาซึ่งเต้นระริกหวามไหวของเจ้าตาทับทิม แล้วพูดอย่างยากลำบากว่า “แต่ข้าอยากคัดค้านนะ”
“ทำไมถึงอยากคัดค้านล่ะ?” ข้าวเหนียวถาม
ทังหยวนยกมือขึ้นมาปิดหน้าข้างหนึ่ง ยิ้มอย่างฝืดฝืน “ถ้าพี่ใหญ่แต่งงานกับเจ้าตาทับทิมจริง ๆ แบบนั้นไม่เท่ากับว่า เจ้าตาทับทิมจะกลายมาเป็นพี่สะใภ้ของพวกเราหรอกเหรอ?”
ทุกคนเงียบกริบไปครู่หนึ่ง สีหน้าของพวกเขาพลันหนักอึ้งขึ้นมาไม่น้อย
นั่นสิ จะไม่เท่ากับว่าเจ้าตาทับทิมกลายเป็นพี่สะใภ้ไปหรอกเหรอ? แต่ก่อนนี้ ทุกคนเคยเอ็นดูเจ้าตาทับทิมในฐานะของเจ้าจิ้งจอกน้อย ต่อมาก็ปกป้องดูแลเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ต่อมาพอเปลี่ยนร่างเปลี่ยนหน้าตาก็จำแลงขึ้นมาเป็นพี่สะใภ้แทน ฉากเหตุการณ์นี้มันช่าง…..
ไม่น่าจะยอมรับกันได้ง่าย ๆ น่ะสิ