บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1875 เขียนชื่อของเจ้าก่อน
วังบูรพาอยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นการใหญ่
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เขาก็อาศัยอยู่ที่จวนอ๋องฉู่มาตลอด ต่อมาเมื่อขึ้นครองราชย์ ก็มีการไปมาที่วังบูรพาบ้าง แต่ไม่นับว่าเคยอาศัยอยู่ที่วังบูรพา
สมัยก่อนเงินในคลังขัดสนมาก ไม่ได้มีมากพอจะนำออกมาใช้จ่ายตกแต่งบูรณะได้
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ประเทศร่ำรวยมั่งคั่งผู้คนเข้มแข็ง นับตั้งแต่หยู่เหวินเห้าขึ้นครองราชย์ เขาไม่ได้ทำการก่อสร้างใหญ่โตใด ๆ อาทิเช่น การสร้างอุทยานเอย ต่อเติมบูรณะพระราชวังเอย ซ่อมแซมสุสานหลวงเอย ไม่มีอะไรที่ว่านี้เลยแม้แต่อย่างเดียว
บวกกับเรื่องที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนของบรรดาพระสนมในวังหลัง เงินที่จัดสรรให้กับคลังกิจการภายในของทุกปีจึงใช้ไม่หมด พูดได้เต็มปากว่าคลังกิจการภายในเวลานี้ถือว่าร่ำรวยฟู่ฟ่าอย่างมาก
เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในรัชสมัยของฮ่องเต้หมิงหยวน ค่าใช้จ่ายในสมัยที่หยู่เหวินเห้าปกครองมีการนำออกมาใช้แค่ประมาณสองส่วนเท่านั้น เรียกได้ว่าประหยัดเงินไปได้เป็นพิเศษเลยทีเดียว
ดังนั้น การปรับปรุงวังบูรพาในครั้งนี้ จึงไม่ต้องการเงินจากคลังหลวง อาศัยแค่คลังกิจการภายในอย่างเดียว ก็สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ด้วยตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซมวังบูรพานั้นหากราชสำนักไม่ออกเงินใด ๆ บ้างเลย ก็จะเหมือนกับทำตัวเป็นคนนอกที่วางตัวเหนือปัญหา หยู่เหวินเห้ายังมีคำสั่งไปยังกรมโยธาและกรมคลังด้วยว่า คิดเห็นอย่างไรก็สามารถตัดสินใจเองได้เลย
กรมโยธาทำงานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดทำแบบร่างและส่งไปให้ฮ่องเต้ทรงพิจารณา
ในส่วนที่ว่าการลงมือทำต้องใช้เงินเท่าไหร่ กรมโยธาจะติดต่อกับกรมคลังก่อน กรมคลังให้เงินไปเท่าไหร่ กรมโยธาทำอะไรไปแค่ไหน ต้องใช้วัสดุเท่าไหร่ ทุกอย่างต้องเป็นระบบ
หลังจากหยู่เหวินเห้าได้ดูแล้ว ก็รู้สึกพอใจมาก ยังส่งต่อให้เจ้าหยวนกับเปาเอ๋อได้ดูด้วย
หยวนชิงหลิงไม่มีความคิดเห็นใด ๆ สุนทรียศาสตร์ของนางกับเจ้าห้านั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว จึงส่งต่อให้เปาเอ๋อเป็นคนตัดสินใจ
หลังจากหยู่เหวินหลี่ได้ดู ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงส่งไปให้เจ้าตาทับทิมที่อยู่ข้าง ๆ เขาได้ดูด้วย
เจ้าตาทับทิมรับพิมพ์เขียวมา พลิกขึ้นพลิกลง พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่ครู่หนึ่ง เอ่อ…ดูไม่รู้เรื่อง
ทันใดนั้นหยู่เหวินหลี่ก็รู้สึกว่า ควรจะสอนเจ้าตาทับทิมให้รู้หนังสือได้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นมีความรู้รอบด้าน แต่ควรต้องรู้จักตัวหนังสือ
ดังนั้นหลังจากดูพิมพ์เขียวแล้ว เขาจึงพาเจ้าตาทับทิมไปที่ห้องทรงอักษร
เมื่อเขาเขียนชื่อของเจ้าตาทับทิมลงบนกระดาษ เจ้าตาทับทิมก็เบิกตากว้างด้วยความปิติยินดี ชี้ไปที่คำนั้นแล้วพูดว่า “ซาลาเปา!”
หยู่เหวินหลี่ยิ้มแย้ม “ไม่ คือเจ้าตาทับทิม”
“เจ้าตาทับทิม?” นางเอียงหน้า “ข้าอยากเรียนคำว่าซาลาเปา”
“ไม่ เจ้าควรเรียนรู้ชื่อของตัวเองก่อน” หยู่เหวินหลี่พูด
“ไม่เอา ข้าอยากเรียนคำว่าซาลาเปาก่อน” เจ้าตาทับทิมพูดอย่างดื้อรั้น
หยู่เหวินหลี่จ้องมองนาง แล้วพูดอย่างจริงจังว่า ” เจ้าตาทับทิม เจ้าต้องรับปากกับข้าข้อหนึ่ง ไม่ว่าเจ้าจะต้องเผชิญหน้าอะไร หรือต้องเผชิญหน้ากับใครก็ตาม สิ่งแรกที่เจ้าต้องพิจารณาถึงคือตัวเจ้าเอง จะต้องดูแลตัวเองรอบด้าน จงจำประโยคนี้สลักไว้ในใจให้แน่นหนา ห้ามลืมเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?
ดวงตากลมโตของเจ้าตาทับทิมเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะ? เป็นพี่ซาลาเปาไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้” หยู่เหวินหลี่น้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น น้ำเสียงฟังดูเคร่งเครียดขึ้นมาระดับหนึ่ง “เจ้ามีแต่ต้องปกป้องดูแลตัวเองได้แล้วเท่านั้น ถึงจะมีพลังที่จะใช้ดูแลข้าหรือว่าคนอื่น ๆ ได้”
เจ้าตาทับทิมก็เหมือนกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ ไม่ว่าจะทำอะไร ล้วนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บวกกับที่เคยเป็นจิ้งจอกน้อยข้างกายเขามาก่อน มันจึงง่ายที่จะเป็นเหมือนกับหมาป่าซาลาเปา นั่นคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะเลือกปกป้องเขาก่อนเสมอ
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า สิ่งนี้จึงกลายเป็นความภักดีที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดอย่างช้า ๆ ตอนนี้นางมีเค้าลางแล้ว จึงต้องหยุดมันให้ทัน
ต้องทำให้นางเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางสมควรต้องดูแลตัวเองก่อน
เจ้าตาทับทิมท่าทางไม่ค่อยมีความสุขนัก นางแค่อยากจะเรียนชื่อของเขาก่อนนี่! อีกอย่าง ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นางจะต้องปกป้องพี่ซาลาเปาก่อนอยู่แล้ว จะให้เอาแต่ดูแลตัวเองก่อนได้อย่างไรล่ะ?
ถ้าเขาเป็นอะไรไป นางก็ไม่อยากเป็นจิ้งจอกอีกต่อไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นข้าเรียนชื่อหมาป่าซาลาเปาก็ได้ ” เจ้าตาทับทิมสมองหาทางซิกแซก เรียนคำว่าหมาป่าซาลาเปาแล้ว นางก็จะเขียนคำว่าซาลาเปาเป็นแล้วอย่างไรล่ะ
“ไม่ได้!” หยู่เหวินเห้ายิ้มพลางใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากของนาง “เรียนคำว่าเจ้าตาทับทิมก่อน”
“อย่างนั้นก็ได้” เจ้าตาทับทิมยอมประนีประนอมในที่สุด แต่นางก็แอบวางแผนเป็นลิงหลอกเจ้าไว้แล้วว่า วันพรุ่งนี้นางจะไปหาเจ๋อหลาน ขอให้เจ๋อหลานช่วยสอนนางเขียนคำว่าซาลาเปา
หยู่เหวินหลี่สอนนางจับปากกาครั้งแรก หลังจากจับปากกาให้ตั้งตรงได้ ก็เริ่มเขียนลำดับขีดบนกระดาษ ไม่ได้รีบร้อนเขียน ค่อย ๆ ฝึกลำดับขีดก่อนค่อยเขียนชื่อก็ยังไม่สาย
เจ้าตาทับทิมไม่ได้โง่ สามารถพูดได้ว่านางฉลาดพอตัว หยู่เหวินหลี่คิดว่านางน่าจะเขียนเป็นได้ง่าย ๆ
แต่ผลสุดท้าย หลังจากที่สอนไปแล้วครึ่งค่อนวัน แม้แต่ขีดตรง ๆ ขีดเดียวนางก็ยังเขียนได้ไม่ดี ทันทีที่เขียนออกไป ถ้าไม่ยึกยือป้อแป้ ก็บิดเบี้ยวโค้งงอ หรือไม่ก็ขีดเส้นแนวนอนแบบนอนไปจนสุดทาง สุดท้ายเลยไม่มีหนทางเขียนให้ดีได้สักที
ท่าจับปากกาของนางมักจะผิดตลอด นางยืนกรานว่าจะจับด้วยมือเดียวอย่างนี้ ไม่ชอบขยับนิ้ว
นางยังมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง “ไม่มีจิ้งจอกที่ไหนเขียนหนังสือเป็นหรอก มีข้านี่ล่ะเป็นคนแรก”
หยู่เหวินหลี่จ้องมองนางด้วยสายตาตกตะลึงอยู่เป็นนานสองนาน คำพูดประโยคนี้ ไม่มีอะไรมาหักล้างมันได้จริง ๆ นั่นล่ะ