บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1876 คุมงาน
ใช้เวลาไปสามวันเต็ม ๆ ท่าทางการถือปากกาของนางก็นับว่าถูกต้องจนได้ ขีดแนวนอน ขีดแนวตั้ง เส้นลากซ้าย เส้นลากขวาก็นับว่าเขียนได้ผ่านมาตรฐานแล้ว แต่หยู่เหวินหลี่ตั้งใจว่าจะไม่สอนคำว่าเจ้าตาทับทิมสองคำนี้แล้ว คิดว่าสอนคำว่าซาลาเปาไปเลยดีกว่า
เขาไม่เคยคิดเลยว่า สุดท้ายแล้วคนที่ต้องประนีประนอมให้จะเป็นเขาเอง
ยึดตามความสามารถในการเข้าใจอักษรของนางเวลานี้ ถ้าต้องเขียนคำว่าเจ้าตาทับทิมจริง ๆ เดาว่าจนถึงเดือนหน้า นางก็คงยังไม่สามารถเขียนคำว่า “ฉื้อ” ออกมาได้ด้วยซ้ำ
อะไรที่ฝึกฝนมาเป็นเวลานานแต่กลับไม่มีผลลัพธ์ ย่อมง่ายต่อการถอดใจยอมแพ้
แต่ถ้าเขาสอนให้นางเขียนคำว่าซาลาเปาจนเป็น นางก็จะคิดว่ามันสามารถทำได้สำเร็จง่าย ๆ เมื่อไหร่ที่ใจเรามีความสุข ก็จะพร้อมเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ ต่อไปได้
เจ้าตาทับทิมดีใจสุดขีด รีบเก็บความรู้สึกอยากเล่นกลับไปทันที ค่อย ๆ เขียนคำสองคำที่เขาเขียนเป็นตัวอย่างทีละขีด ๆ
ตามที่หยู่เหวินหลี่ว่าไว้ นางไม่ได้โง่ เมื่อไหร่ที่นางจริงจังกับการเรียนก็จะสามารถเรียนรู้ได้ดี แค่เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็เขียนคำว่าซาลาเปาได้ถูกต้องสมบูรณ์ดีมาก
ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เจ้าตาทับทิมที่รู้สึกถึงความสำเร็จ แม้แต่หยู่เหวินหลี่เองก็ยังรู้สึกถึงความสำเร็จด้วย ช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ
ตอนที่การก่อสร้างวังบูรพาเริ่มขึ้น เด็ก ๆ ที่ต้องกลับไปยุคปัจจุบันก็ออกเดินทางกันแล้ว
ครั้งนี้หยวนชิงหลิงเป็นคนไปส่งให้ เพราะข้าวเหนียวก็ตามกลับไปด้วย เรื่องนี้ต้องคุยกับหยางหรูไห่ก่อน ไม่ใช่เพื่อจะใช้เส้นเดินผ่านทางประตูหลัง หยวนชิงหลิงเชื่อว่าข้าวเหนียวจะสามารถเข้าโรงเรียนได้แน่นอน เธอแค่หวังว่าหยางหรูไห่จะเข้มงวดกับข้าวเหนียวขึ้นอีกหน่อย เด็กคนนี้นิสัยยังไม่เข้มแข็งพอ
การซ่อมแซมวังบูรพานั้น สองคนสามีภรรยาไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก แต่ดูเหมือนสามยักษ์ใหญ่จะค้นพบเป้าหมายในชีวิตแล้ว พวกเขาไปจับตาดูทุกวัน เพื่อดูว่ามีใครแอบตัดลดวัสดุหรือข้ามขั้นตอนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือไม่ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาแก้ไขพิมพ์เขียว
เมื่อได้เห็นสถาปัตยกรรมในยุคสมัยใหม่มา พวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองมีความรู้ทางวิชาชีพด้านนี้อยู่บ้าง สามารถให้ความเห็นแบบมืออาชีพได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตำหนักหรูหราต้องเข้ากับสระว่ายน้ำอย่างแน่นอน วัยหนุ่มสาว ควรจะว่ายน้ำกันให้มาก ๆ มันดีต่อกระดูกสันหลังส่วนเอวและคอ
เป็นเรื่องยากลำบากมาก สำหรับคนที่ต้องอ่านฎีกาที่ส่งมาทุกวัน เพราะเมื่อวังบูรพาเริ่มจัดการเรื่องต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ จำเป็นต้องอ่านข้อความที่ส่งมาตามสถานที่ต่าง ๆ ทุกวัน หลังจากคัดกรองแล้วจะถูกส่งไปยังเน่ย์เก๋อ แล้วให้เน่ย์เก๋อกลั่นกรองแล้วคัดเลือกอีกที เพื่อส่งต่อไปยังห้องทรงพระอักษร
อย่างน้อยที่สุด ในช่วงสองสามปีแรกของการเป็นรัชทายาทก็ต้องฝ่าฟันไปในลักษณะนี้
นึกย้อนกลับไป เมื่อตอนที่เสี่ยวหมิงเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เขาต้องอ่านฎีกาทุกวัน อดหลับอดนอนจนตาแดงก่ำ ถึงจะสามารถเลือกสิ่งที่จำเป็นออกมาจากกองฎีกาเป็นตั้ง ๆ นั้นได้
ในสายตาของอู๋ซ่างหวงที่มีต่อลูกชายคนนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชมอะไรมากมายนัก ยกเว้นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธในความพากเพียรของเขา
ดั่งที่โบราณว่าไว้ สวรรค์ย่อมตอบแทนผู้มีความขยันหมั่นเพียร ในช่วงรัชกาลของเขา เพราะความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย จึงมีความสงบสุขร่มเย็นได้จริง ๆ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ เขากลับไม่สามารถสร้างความร่ำรวยมรุ่งเรืองขึ้นมาได้
อู๋ซ่างหวงพูดกับท่านฉู่และเซียวเหยากงว่า “นึกถึงเมื่อก่อนตอนข้ากดขี่บีบคั้นเจ้าเด็กโข่งนั่น ข้าไม่เคยรู้สึกปวดอกปวดใจเลยแม้แต่น้อย เอาแต่พูดกรอกหูเขาทุกวัน หวังให้เขานอนให้น้อยลงสักครึ่งชั่วยามจะได้มาอ่านฎีกาได้มากขึ้น แต่พอคิดว่าหลังจากนี้เปาเอ๋อต้องมานั่งอดตาหลับขับตานอนเพื่ออ่านฎีกา อ่านจนดึกจนดื่น ในใจข้าก็รู้สึกยากจะตัดใจได้ รู้สึกอึดอัดจนบอกไม่ถูก แทบอดรนทนไม่ไหว อยากให้ตัวเองยังมีเรี่ยวแรงพอให้ทำงานต่อไปได้อีกสักหลาย ๆ ปี”
“อิทธิพลการเลี้ยงลูกแบบข้ามรุ่นสินะ แต่ตอนเจ้าห้า เจ้าก็ไม่ได้รู้สึกปวดอกปวดใจอะไรมากมายนะ” ท่านฉู่พูด
“ตอนที่เจ้าห้าได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท มันมีเวลาอ่านฎีกาเงียบ ๆ เสียที่ไหนเล่า?” อู๋ซ่างหวงถอนหายใจเฮือก ตอนนั้นมีแต่เรื่องยุ่ง ๆ ต้องจัดการตลอด เรื่องเล็กไม่เคยขาด เรื่องใหญ่ก็ไม่น้อย ไหนจะเป่ยโม่ เซียนเปย แต่ละแคว้น ๆ ป่าเถื่อนเลวร้ายไม่แพ้กัน ดาหน้าเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน
“ถ้าพูดถึงเรื่องวุ่นวายโกลาหล ตอนนั้นพวกเราก็วุ่นวายโกลาหลกันจริง ๆ นั่นล่ะ ” เซียวเหยากงหวนนึกถึงตอนที่เขายังหนุ่ม รู้สึกว่าสมัยนั้นมันยากลำบากมาก มาตอนนี้พอมองย้อนกลับไป แม้ว่ามันจะยากลำบาก แต่กลับไม่มีคำว่ากลัวอยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ต่อให้ต้องสู้จนตัวตายก็ช่างมัน
ท่านฉู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ยิ่งรุ่นต่อไปก็ยิ่งดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว ความพยายามของพวกเราที่ทุ่มเทไป จะไม่เท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ?”
ทุกคนต่างมองไปที่ช่างฝีมือที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน แล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลังจากที่อู๋ซ่างหวงถอนหายใจ ก็ยิ้มอีกครั้ง “นับตั้งแต่ข้าขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา อาคารที่ใหญ่ที่สุดในวัง ก็คือการสร้างหอคอยสูง อยากจะขึ้นไปโอบกอดดวงจันทร์สักเก้าวันเก้าคืน ในเวลานั้น ความปรารถนาในใจข้าดูจะใหญ่โตเสียเหลือเกิน แต่มาตอนนี้ก็นับว่าดีขึ้นมากแล้ว อยากซ่อมก็ซ่อม ไม่มีขุนนางคนไหนกล้าใช้ข้ออ้างที่ว่าคลังไม่มีเงินมาค้านซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเราสามารถซ่อมแซมได้อย่างสบายใจไร้กังวลแล้วล่ะ”
ใครว่าไม่ใช่ล่ะ? ช่วงเวลานั้นที่อู๋ซ่างหวงเป็นฮ่องเต้ เหนื่อยจนแทบจะกลายร่างเป็นหมาให้ได้แล้ว
ตอนที่เขาขึ้นครองราชย์ เป็นช่วงหลังจากเสร็จสิ้นสงคราม เขาเป็นหนี้แคว้นต้าโจวก้อนโต ไม่พอยังมีหนี้ที่ยืมเสบียงอาหารของต้าซิ่งกับต้าเยว่อีก เพราะภัยตั๊กแตนระบาดและน้ำท่วมก่อนสงครามเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนอดตายเพราะขาดอาหาร เขาจึงทำได้แค่ต้องบากหน้าชนิดที่ว่าต่อให้ตาย ก็ต้องขอยืมมาให้ได้เท่านั้น
ตอนนั้นมันยากลำบากขนาดไหนน่ะหรือ? ก็ถึงขั้นที่พี่เหว่ยต้องถูกขายให้กับต้าโจวนั่นล่ะ ในช่วงสิบปีแรกของการขึ้นครองราชย์ของอู๋ซ่างหวง เขาใช้เวลาหมดไปกับการใช้หนี้ พยายามจนสุดชีวิตเพื่อพัฒนาพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อปลูกข้าวปลูกธัญพืช แต่ความวุ่นวายจากภายนอกก็ยังคงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน แล้วยังต้องกัดฟันออกไปทำสงครามอีก และการทำสงครามก็ผลาญเงินทองสิ้นดี
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์วุ่นวายภายในประเทศไม่หยุดไม่พัก ทั้งปัญหาโจรป่าโจรภูเขา ทั้งปัญหาวุ่นวายยิบย่อยอีกมากมาย
ต้องผ่านความยากลำบากสารพัด ถึงค่อยเก็บรักษาธุรกิจในครอบครัวเอาไว้ได้ในที่สุด