บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1878 ไปหาท่านหมิงแล้ว
สามยักษ์ใหญ่รู้สึกสูญเสียคุณค่าในชีวิตอย่างหนัก เป็นอารมณ์สูญเสียที่เหมือนการทุ่มเททำอาหารเลิศรสมื้อใหญ่อย่างเหนื่อยยาก แต่กลับไม่ได้กินแม้แต่คำเดียวอย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าขัดแย้งกับฮองเฮา แม่สาวน้อยคนนี้พอเปลี่ยนสีหน้าขึ้นมาเมื่อไหร่ จะเหมือนกับพี่จูตี้ท่านย่าของนางมาก ชวนหวาดผวาน่าตกใจอย่างยิ่ง
ตอนนี้ขอแค่นางไม่บอกพี่จูตี้ก็พอแล้ว เพราะเมื่อไหร่ที่พี่จูตี้ด่าคน นางจะด่าอย่างไม่ไว้หน้าไร้ความปรานีสุดขีด จากนี้จะได้ไปหรือไม่ได้ไปก็ต้องไว้พูดกันใหม่แล้วล่ะ
แต่พอสิทธิของผู้คุมงานสร้างวังบูรพาถูกลิดรอนไป พวกเขาก็ดูมีท่าทางเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด วันเวลาในช่วงบั้นปลาย แม้ว่าจะมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาใช้ชีวิตที่ตรากตรำโชกโชนมาอย่างหนัก เรียกได้ว่าเกือบทุกอย่างที่ชีวิตคนเราต้องฝ่าฟัน พวกเขาล้วนเคยฝ่าฟันมันมาหมดแล้ว มาตอนนี้พวกเขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง
ถึงจะบอกว่าให้ช่วยเลี้ยงเด็ก ๆ แต่พวกเด็ก ๆ ต่างก็โตกันหมดแล้ว จะบอกให้ช่วยเด็ก ๆ วางแผนเรื่องแต่งงาน ว่ากันตามจริงมันก็เร็วไปหน่อยอีกนั่นล่ะ
ยังมีอีก อะไรคือช่วยเลี้ยงเด็กช่วยเรื่องจัดงานแต่ง? งานเหล่านี้ไม่ใช่หน้าที่ของชายชราอย่างพวกเขาหรอกนะ ฟังดูแล้วเหมือนงานของพวกแม่สามีอย่างไรอย่างนั้น
ช่างสูญเสียความน่าเกรงขามนัก
ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจไปอยู่หมู่ตึกเหมยของท่านหมิงสักระยะ เดินทางขึ้นเขาลงห้วย ชมนกชมไม้ กล่อมเกลาอารมณ์ของพวกเขาเสียหน่อย
ด้วยเหตุนี้เอง สามยักษ์ใหญ่จึงพาแม่นมสี่ออกเดินทางไปยังหมู่ตึกเหมย
ก่อนจะไป ก็ไม่ได้มีการบอกกล่าวทักทายใด ๆ กับท่านหมิงอีกด้วย แค่ขับรถม้าบุกตรงดิ่งไปหาถึงหน้าประตู
ท่านหมิงผู้ดำรงตำแหน่งไท่ซ่างหวง เคยชินกับการใช้ชีวิตอิสรเสรีไปแล้วเรียบร้อย เจ้าสิบก็ไปค่ายทหารแล้ว หมู่ตึกเหมยแห่งนี้จึงมีเพียงเขากับฮู่เฟยที่พาคนรับใช้มาด้วยกลุ่มหนึ่ง หลีกหนีจากความรุ่งเรืองคึกคัก จนสามารถคุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ เรื่องในวังบางครั้งก็จะมีคนมาบอกเขาว่าสถานการณ์มั่นคงดี ครอบครัวของเจ้าห้าก็มีความสุขดี เขาจึงไม่มีอะไรต้องกังวลใจแล้ว
การถอยออกมาใช้ชีวิตในป่าเขาเช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วมีคนเพียงไม่กี่คนหรอกที่สามารถทนต่อความเงียบเหงาแบบนี้ได้ บางทีถ้าแค่ปีหรือสองปีก็ยังพอไหว แต่ถ้าผ่านไปนานเข้า ก็จะเกิดความรู้สึกคิดถึงโลกที่เจริญรุ่งเรือง
แต่ท่านหมิงกลับเพลิดเพลินกับมันมาก บางทีอาจเป็นเพราะเขาทำงานหนักในช่วงเวลากว่าครึ่งแรกของชีวิต ในใจจึงคิดอยากเกษียณมาโดยตลอด ดังนั้น เขาจึงรักใคร่หวงแหนช่วงเวลานี้มาก และยิ่งไม่ชอบให้ใครมารบกวนเป็นพิเศษด้วย
พวกลูกชายมาน้อมทักทาย เขายังไม่ยอมให้ค้างคืนด้วยซ้ำ
แต่กับสามท่านนี้ เขาไม่มีหนทางปฏิเสธได้จริง ๆ ทั้งยังต้องรับใช้ปรนนิบัติอู๋ซ่างหวงไปอีก
แต่พูดไปแล้วก็แปลก หมู่ตึกเหมยในช่วงหลายปีมานี้เงียบสงบอย่างมาก เรียกได้ว่าเงียบเหงาจนไร้ชีวิตชีวาก็ว่าได้ สาเหตุหลักเป็นเพราะหลังจากท่านหมิงเกษียณแล้วชอบความเงียบสงบ ผู้คนในหมู่ตึกเหมยจึงคุ้นเคยกับการทำอะไรมือเบาเท้าเบา พูดจาก็อ่อนโยนสบายหู
ดูแล้วเหมือนบ้านพักของคนทำงานที่เกษียณอายุแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลังการมาถึงของอู๋ซ่างหวงสามยักษ์ใหญ่แห่งแดนดิน บรรยากาศของที่นี่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อาหารประเภทผักต้มน่ะรึ? ไม่เอา ! ต้องตุ๋นให้ข้น ต้องผัดให้เข้ม ต้องย่างให้เกรียม ต้องคั่วให้กรอบ และรสชาติต้องเข้มข้นเท่านั้น
พูดเสียงเบาไปพวกเขาไม่ได้ยิน อายุจนปูนนี้แล้ว หูเริ่มตึง ต้องพูดให้ดังกว่านี้อีก เคลื่อนไหวไม่ควรช้าเกินไป ต้องเห็นความรวดเร็วว่องไว ต้องไว ถ้าว่องไวไม่พอจะต้องวิ่ง ต้องได้เห็นเงาร่างของทุกคนที่ทำงานกันจนยุ่งวุ่นวายถึงจะพอใจ
นี่ช่างสร้างความลำบากให้กับท่านหมิงเหลือเกิน เขาอยู่เงียบ ๆ มาหลายปีมากแล้ว ไม่คุ้นชินกับหมู่ตึกเหมยที่เสียงดังอึกทึกคึกโครมแบบนี้เลยจริง ๆ ดังนั้น หลังจากมาน้อมทักทายช่วงกลางวันเสร็จ เขาก็มักจะซ่อนตัวอยู่ในเรือนพักตัวเอง บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็พูดคุยสัพเพเหระกับฮู่เฟย
หลังจากใช้ชีวิตในลักษณะนี้หลายวันเข้า เซียวเหยากงก็พูดกับอู๋ซ่างหวงว่า “ดูเหมือนพวกเราจะไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับของที่นี่เท่าไหร่นะ หรือไม่ พวกเรากลับไปจะดีกว่า”
อู๋ซ่างหวงถลึงตา แล้วพูดอย่างดุดันว่า “จะกลับไปทำไมของเจ้า? เขาอายุยังไม่มากเลย ทำตัวเสียจนอย่างกับมีคนตายทั้งบ้าน เขาจะกล่อมเกลาจิตใจจนสะอาดผ่องใสไร้กิเลสก็ช่างเถอะ ยังมีหน้าไปลากเอาฮู่เฟยที่ยังสาวคนนั้นให้มาตกระกำลำบากไปด้วยอีก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าหลายปีมานี้เขาเอาใจใส่เรื่องของพวกลูกชายสักแค่ไหนกัน? เอาแต่กลัวว่าพวกเขาจะมาน้อมทักทาย แค่ปรายตามองแวบเดียวก็ไล่ให้กลับไปแล้ว ไร้กิเลสน่ะได้ แต่ไม่ใช่ละเลยทุกสิ่งไม่สนใจอะไรเลยแบบนี้”
ท่านฉู่ทนไม่ไหวจึงออกหน้าพูดปกป้องท่านหมิงไปประโยคหนึ่ง “เขาไม่ใส่ใจเรื่องงานราชสำนัก ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฮ่องเต้ต้องทำตัวลำบาก ถ้าเขาเข้าไปยุ่งวุ่นวาย พวกขุนนางก็จะไม่รู้ว่าสมควรจะฟังใคร ความน่าเลื่อมใสของราชาก็จะสลายไปได้ง่าย ๆ การเป็นไท่ซ่างหวงก็ต้องแบบนี้นี่ล่ะ”
“แล้วข้าไม่เคยเป็นไท่ซ่างหวงรึ? ” เขากลอกตามองบนใส่ “เรื่องของราชสำนักไม่ใส่ใจได้ หรือไม่ก็คอยจับตามองไว้ก็ยังได้ แค่พูดเสนอแนะให้สองสามประโยค ไม่ต้องออกหน้าก็ได้อีกเหมือนกัน แต่เรื่องที่เกี่ยวกับราชนิกุลทั้งหลายล่ะ? เรื่องของพวกลูกชายล่ะ? ไม่สนใจอะไรเลยสักอย่าง ทำตัวเป็นพวกล้างมือในอ่างทองคำ เอาแต่อยู่อย่างไร้ชีวิตชีวาไปวัน ๆ แบบนี้ มีแต่จะตายเร็วขึ้นน่ะสิ”
พูดตรงๆ ก็คือ อู๋ซ่างหวงมองไม่เห็นความกระตือรือร้นอะไรจากตัวเขาเลยแม้แต่น้อย เกษียณตัวมาอยู่ในป่าในเขา ก็ยังพอจะมีงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ การเกษียณมาอยู่ในป่าในเขา ไม่ใช่หกสะอาดเสียหน่อย *(อธิบายเพิ่มเติม หกสะอาดตามความเชื่อทางพุทธ หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ในพุทธศาสนาถือเป็นการบรรลุถึงสภาวะที่หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก สัมผัสได้ถึงความสงบทั้งหก ใช้อุปมาถึงผู้ที่หลุดพ้นไม่มีความปรารถนา)
เขาเป็นห่วงลูกชายของเขา หวังว่าเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง เขายังไม่แก่เลย ไม่ควรใช้ชีวิตที่เหมือนรอความตายไปวัน ๆ แบบนี้