บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1905 จะต้องปิดบังเธอหรือเปล่า
หลังจากที่หยวนชิงหลิงกับอู๋ซ่างหวงกลับไปถึงที่นั่น ก็รีบตรงกลับบ้านทันที
ผลคือ คุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าคุณย่าออกไปเยี่ยมเพื่อนร่วมงานเก่าของท่าน บอกว่าจะไปราว ๆ ครึ่งเดือน หยวนชิงหลิงเข้าใจความต้องการของคุณย่าได้ทันที ประมาณว่าตอนนี้น่าจะยังอยู่ระหว่างตรวจอาการอยู่ ยังไม่รู้ผลตรวจ เลยไม่ได้บอกกับคนในครอบครัว
หยวนชิงหลิงทำใจให้สงบลง หลับตาลงเพื่อเปิดการรับรู้และสัมผัส เธอรู้ว่าคุณย่าอยู่ในโรงพยาบาลประจำเมืองแห่งที่แปด ในเวลานี้ เธอสามารถสัมผัสได้ถึงคุณย่าแล้ว
หลังจากที่เธอกับอู๋ซ่างหวงเปลี่ยนกลับไปใส่เสื้อผ้าของยุคปัจจุบันแล้ว ก็ไปถามยืมกุญแจรถจากพ่อ โดยอ้างว่าจะไปเยี่ยมเพื่อน จากนั้นก็ขับรถออกไปเลย
อันที่จริงพอได้เห็นอาการที่คุณย่าเขียนไว้ ในใจของเธอก็รู้ชัดแล้ว แต่แค่ไม่อยากเชื่อมันก็เท่านั้น
หลังจากมาถึงโรงพยาบาลประจำเมืองแห่งที่แปด หยวนชิงหลิงก็ไปหาศาสตราจารย์ฟาง พ่อของศาสตราจารย์ฟางเป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของคุณย่า เมื่อก่อนศาสตราจารย์ฟางมักจะไปเยี่ยมเยือนครอบครัวตระกูลหยวนทุกปี เพื่ออวยพรวันปีใหม่ ดังนั้น ทั้งสองครอบครัวจึงสนิทสนมคุ้นเคยกันดี
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ศาสตราจารย์ฟางยังมาจากสถาบันวิจัยของหยางหรูไห่อีกด้วย เขาพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหยวนชิงหลิงอยู่บ้างบางส่วน
ตอนที่เขาเห็นหยวนชิงหลิง ก็รีบปลอบใจก่อนทันทีว่า “อย่ากังวล ไม่ใช่อาการขั้นสุดท้าย”
คำว่าไม่ใช่อาการขั้นสุดท้าย เท่ากับว่าการคาดเดาของหยวนชิงหลิงได้รับการยืนยันขั้นพื้นฐานแล้ว
เธอทรมานใจสุดขีด ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“นั่งลงค่อย ๆ คุยกันเถอะนะ” ศาสตราจารย์ฟางพูด พลางเหลือบตามองอู๋ซ่างหวงแวบหนึ่ง สีหน้าของชายชราคนนี้ก็ดูร้อนรนกังวลใจไม่ต่างกัน จึงเชิญให้เขานั่งลงด้วย
“เป็นอย่างไรบ้าง? พี่จูตี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” หลังจากที่อู๋ซ่างหวงนั่งลง เขาก็รีบถามหยวนชิงหลิง คำว่า “ไม่ใช่ขั้นสุดท้าย” ไม่ใช่คำอธิบายถึงลักษณะของอาการป่วยนี้หรอกหรือ?
ศาสตราจารย์ฟางยื่นแผ่นฟิล์มกับผลการเจาะตรวจให้หยวนชิงหลิง “เนื้องอกยังไม่ได้แพร่กระจาย ยังไม่นับว่าใหญ่ โชคดีที่ค้นพบได้เร็ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีอยู่นะ”
หยวนชิงหลิงรับมันมาดู ทันทีที่เห็นคำว่ามะเร็งตับ หัวใจก็พลันหนักอึ้งจมดิ่งลงไปทันที
ศาสตราจารย์ฟางอธิบายว่า “เธอมีอาการปวดท้องและปวดกระเพาะมาระยะหนึ่งแล้ว เริ่มสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้หรืออาจเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร เลยเข้าแอดมิดในโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจระบบทางเดินอาหาร จึงพบว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะเรื้อรังที่แสดงอาการต่อเนื่อง จึงมีอาการปวด ในส่วนของตับไม่ได้มีอาการปวด ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดปวดท้องขึ้นมาเป็นอาการเตือน เลยเข้ามาตรวจที่โรงพยาบาลแล้วล่ะก็ เดาว่าบางทีอาจจะตรวจไม่พบปัญหาที่ตับก็ได้”
อู๋ซ่างหวงเคยมาใช้ชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน ดังนั้น เขาย่อมรู้ดีถึงความน่ากลัวของคำว่ามะเร็ง เขาตั้งใจฟังทุกคำพูดอย่างละเอียด เพราะนี่ไม่ใช่เนื้อหาที่เขาเชี่ยวชาญ งานแบบนี้จำเป็นต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญทำ
พี่จูตี้ทั้งน่าสงสารทั้งน่าชิงชังเสียจริง ล้มป่วยก็ไม่ยอมบอกใครเลย อายุก็มากขนาดนั้นแล้วยังแอบย่องมาตรวจที่โรงพยาบาลเพียงคนเดียว ถ้าหากพวกเขาไม่มา นางก็คงคิดจะแบกรับผลตรวจตามลำพังสินะ?
อู๋ซ่างหวงรู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย แต่ก็รีบแสดงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ตั้งใจฟังเจ้าหยวนกับหมอหารือกันเรื่องแผนการรักษา
“ลุงฟาง คุณคิดว่าจะใช้แผนไหนเหรอคะ? ผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก สลายทิ้ง? แทรกแซง? หรือว่าจะใช้วิธีสร้างภูมิคุ้มกันแบบกำหนดเป้าหมาย?” น้ำเสียงของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกชนิดปิดบังไว้ไม่อยู่
ศาสตราจารย์ฟางกลอกตาไปมา พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ลุงแนะนำว่าให้ทำการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก ตอนนี้เนื้องอกยังไม่ใหญ่ ทั้งยังไม่มีการลุกลาม ลุงคิดว่าการผ่าตัดจะเป็นหนทางที่ดีกว่า แต่เพราะเธอก็อายุมากแล้ว ยังไงก็สมควรต้องปรึกษากับคนในครอบครัวก่อน ในส่วนของลักษณะมะเร็งตับเชื่อว่าคงไม่ต้องให้ลุงพูดแล้ว พวกเธอในฐานะสมาชิกในครอบครัวคงจะรู้กันดีอยู่แล้ว ว่าอัตราการกลับมาเป็นซ้ำจะมีได้มากกว่า 50% ในช่วงระหว่างห้าปีหลังรับการผ่าตัด ดังนั้นการให้เคมีบำบัดแบบแช่ตัวหลังผ่าตัด จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ด้วยเหมือนกัน แต่ถึงยังไงสำหรับคนมีอายุก็คงจะทุกข์ยากลำบากหน่อยล่ะนะ”
ศาสตราจารย์ฟางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จ้องมองหลานสาวที่แอบปาดน้ำตา พลางถอนหายใจ “ถ้าจะบอกว่า ครอบครัวแค่อยากจะบรรเทาความเจ็บปวดของเธอ ก็ไม่ต้องไล่แสวงหาวิธีรักษา แต่เน้นไปที่การบำบัดแบบตรงเป้าหมายก็ได้อยู่ ตอนนี้ก็มียาฉีดแบบเฉพาะเป้าหมายที่ส่งผลค่อนข้างดีต่อการรักษามะเร็งตับอยู่นะ”
ท้ายที่สุดเมื่อเราอายุมากแล้ว สมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ก็มักตัดสินใจเลือกทำแบบนี้กัน
“ทำการทดสอบทางพันธุกรรมแล้วหรือยังคะ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“ทำแล้ว ผลตรวจยังไม่ออก แต่ไม่มียาที่มุ่งเป้าไปที่ยีนแบบพันธุกรรมเดี่ยวสำหรับมะเร็งตับ ดังนั้นผลลัพธ์ทางพันธุกรรมจะเป็นยังไง ก็ไม่ส่งผลต่อยาที่เราใช้ หลานสาว หนูก็รู้ใช่มั้ย?”
หยวนชิงหลิงพยักหน้ารับอย่างสับสน “ค่ะ”
อู๋ซ่างหวงแอบดึงแขนเสื้อของเธอ แล้วกระซิบถามเบา ๆ ว่า “อาการป่วยของพี่จูตี้ร้ายแรงมากใช่หรือไม่?”
“ไม่ ไม่นับว่าร้ายแรง” หยวนชิงหลิงรีบปลอบใจอู๋ซ่างหวง “มีทางรักษาได้อยู่ ท่านวางใจเถอะ”
มีความกังวลอย่างลึกซึ้งในดวงตาของอู๋ซ่างหวง “แต่ดูเจ้าแล้วเหมือนว่านางใกล้จะ… นางจะต้องดีขึ้นได้แน่ ๆ สินะ? เจ้าต้องสัญญานะว่านางจะไม่เป็นไร”
“ข้าสัญญา นางจะต้องหายดีได้แน่ ” หยวนชิงหลิงจ้องมองอู๋ซ่างหวง น้ำตาพลันรินไหลออกมาอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าคุณย่ามีความหมายต่อจวนอ๋องซู่มากแค่ไหน พวกคนแก่ในจวนมักเอาแต่พูดว่าท่านเป็นแม่มด เป็นคนที่น่ากลัวมาก แต่อันที่จริงก็อยู่ห่างท่านไม่ได้
อู๋ซ่างหวงแสดงท่าทีอับจนหนทางออกมาเล็กน้อย นี่เป็นสนามรบที่เขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เขาจะได้ไปพาตัวฉู่เสี่ยวอู่มาด้วย รายนั้นไม่ว่าอะไรเขาก็รู้หมด
เขาอยากไปเยี่ยมดูอาการของพี่จูตี้
ศาสตราจารย์ฟางพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “เธอยังไม่รู้ผลลัพธ์ที่ว่านี้ หนูคิดว่าจำเป็นต้องบอกเจ้าตัวเขาหรือเปล่าล่ะ?”
หยวนชิงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “ต้องบอกท่านค่ะ”
ไม่บอกไม่ได้แน่ เรื่องนี้ปิดบังไม่ได้ เพราะท่านรู้อยู่แก่ใจชนิดชัดเจนแจ่มแจ้ง ดังนั้นถึงได้กลับมาตรวจอาการที่นี่