บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1906 พี่จูตี้ผู้เก่งกาจน่าทึ่ง
ศาสตราจารย์ฟางหยิบเคสบันทึกประวัติผู้ป่วยขึ้นมาถือแล้วพูดว่า “งั้นพวกเราก็ไปบอกทางนั้นกันซักหน่อยเถอะ รีบคุยจะได้รีบตัดสินใจเรื่องแผนการรักษา ว่าแต่ พ่อกับแม่ของหนูไม่ได้มาด้วยเหรอ?”
“พวกท่านยังไม่รู้เลยค่ะ ไว้หนูค่อยบอกพวกท่านทีหลัง” หยวนชิงหลิงคว้าข้อมือของอู๋ซ่างหวงไว้ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
“ข้ากำลังคิดว่าจะออกไปหาของอะไรสักอย่างมาให้นาง ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นสักหน่อย แล้วค่อยบอกนางจะดีกว่าหรือไม่?” การที่สมองของอู๋ซ่างหวงสามารถคิดถึงจุดนี้ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่โรแมนติกที่สุดเท่าที่สมองของเขาจะคิดได้แล้ว
ศาสตราจารย์ฟางเหลือบมองชายชราที่เรียกตัวเองว่าข้า ในใจก็นึกสงสัย ไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับคนในตระกูลหยวนกันแน่? แต่ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียดมาก
เขาก็พูดปลอบใจพร้อมทั้งให้คำแนะนำไปประโยคหนึ่งว่า “การปลอบใจที่ดีที่สุด ก็คือแผนการรักษาที่ดี แต่ถ้าคุณอยากจะซื้ออะไรให้เธอสักหน่อย งั้นก็ไปซื้อดอกไม้สดมาสักช่อก็ได้ ไม่ว่าผู้หญิงวัยไหนก็ชอบดอกไม้กันทั้งนั้นแหล่ะ”
อู๋ซ่างหวงขมวดคิ้วมุ่น จะซื้อดอกไม้ไปทำไม? พี่จูตี้ไม่ใช่คนที่ชอบดอกไม้แน่ ๆ
หมอคนนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเอาเสียเลย ให้รักษาพี่จูตี้จะไหวหรือไม่ล่ะนี่ ? หรือว่าจะให้เจ้าหยวนเป็นคนรักษาเองน่าจะดีกว่ากระมัง? เจ้าหยวนน่ะ ไม่ว่าโรคอะไรก็รักษาได้หมด
แต่เขาก็ไม่ได้ออกไปซื้ออะไรอย่างอื่น ซื้อแค่นมจากร้านสะดวกซื้อในโรงพยาบาลมากล่องหนึ่ง ค่อยไปห้องผู้ป่วยพร้อมกับหยวนชิงหลิง โดยมีศาสตราจารย์ฟางตามหลัง
เจ๊ใหญ่เจ้าของฉายาหัวหน้าแม่มดแห่งจวนอ๋องซู่ที่เวลานี้สวมชุดผู้ป่วยอยู่ ไม่ได้นอนพักบนเตียงอย่างสงบเสงี่ยมแต่อย่างใด เธอกำลังช่วยผู้ป่วยที่อยู่เตียงข้าง ๆ กดจุดฝังเข็มในบริเวณจุดปากเสืออยู่ *(เป็นจุดที่อยู่ตรงง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ )
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เธอก็หันหลังไปมอง ได้เห็นอู๋ซ่างหวงกับหลานสาว พร้อมด้วยศาสตราจารย์ฟางเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว ปล่อยมือของผู้ป่วยคนนั้น แล้วเดินเข้าไปหาช้า ๆ “ทุกคนมาได้ยังไงล่ะเนี่ย?”
หยวนชิงหลิงฝืนกลั้นน้ำตาไว้ เดินเข้ากอดคุณย่าจนแน่น “คุณย่าไม่สบาย ทำไมถึงไม่บอกหนูล่ะคะ? แอบมาตรวจอาการเองตามลำพังแบบนี้ ถ้าไม่เพราะปู่ใหญ่เจอกระดาษที่คุณย่าทิ้งไว้ในตะกร้าล่ะก็ พวกเราก็คงไม่มีใครรู้เลยว่าคุณย่าป่วย”
“ใช่เรื่องใหญ่โตซะที่ไหนกันล่ะ?” คุณย่าหยวนยิ้มพลางลูบ ๆ ที่แผ่นหลังของหลานสาว “ไม่ต้องทุกข์ใจไปหรอก”
เธอปล่อยหยวนชิงหลิง แล้วมองไปที่อู๋ซ่างหวง เห็นว่าเขายืนถือนมกล่องหนึ่งอยู่ในมือ เขายืนอยู่กับที่ด้วยท่าทางเหมือนทำอะไรไม่ถูก ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นก็ยื่นมือออกไป “เอามาให้ข้าหรือ?”
“เอามาให้เจ้าดื่ม” อู๋ซ่างหวงรีบยื่นมันให้ แต่แล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่ “มันหนักไป เดี๋ยวข้าช่วยเก็บให้เจ้าดีกว่า”
เขากวาดตามองในห้องผู้ป่วย รูปแบบของห้องผู้ป่วยนั้นเป็นอะไรที่เขาคุ้นเคยมาก เขาเองก็เคยพักอยู่ในห้องผู้ป่วยแบบนี้มาก่อน จึงเอานมไปวางไว้ในตู้เก็บของหัวเตียงซึ่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
คุณย่าหยวนมองไปที่ศาสตราจารย์ฟาง ก็เห็นว่าในมือของเขาถือของมาด้วยหอบใหญ่ จึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อเสี่ยวฟางมาพร้อมกับพวกหลาน งั้นก็แสดงว่าผลตรวจของฉันออกมาแล้วสินะ มาเถอะ สถานการณ์เป็นยังไง บอกฉันมาเลย ”
ตอนที่สแกน CT ส่วนตับ ก็เจอปัญหาแล้ว ต่อมาค่อยทำการเจาะตรวจเพิ่ม ดังนั้นในใจของเธอก็รู้ดีอยู่ระดับหนึ่งแล้ว
เธออยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ขบคิดไม่แตกอีกล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตนี้ของเธอเต็มไปด้วยความคุ้มค่าอย่างมากมายมหาศาลแล้ว อยู่มาจนแก่ยังได้พบเจอการผจญภัยอันสุดแสนมหัศจรรย์แบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่ามาก ชีวิตของเธอใช้ไปโดยไม่เสียเปล่าเลยแม้แต่ชั่วอึดใจ
ดังนั้น ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เธอก็ยอมรับมันได้
หยวนชิงหลิงสะอื้น ฝืนเอ่ยปากพูดออกมาเองไม่ไหว จึงหันกลับไปมองศาสตราจารย์ฟางแวบหนึ่ง ศาสตราจารย์ฟางดันแว่นตาให้เข้าที่ ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ชะงักไป ถ้าเป็นผู้ป่วยที่อยู่เตียงข้าง ๆ เขาก็คงจะบอกออกไปได้ทันที แต่นี่คือรุ่นพี่ที่เขาเคารพ เป็นคนที่อยู่ในสายอาชีพเดียวกันน่ะสิ
เมื่อเห็นแบบนั้น คุณย่าหยวนก็ยื่นมือออกไปหยิบเคสบันทึกประวัติผู้ป่วยในมือของเขามาดู แล้วอ่านผลจากการเจาะตรวจเองเลยตรง ๆ
ทันทีที่ได้เห็น เธอกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผ่าตัดเถอะ ฉันทนได้”
“พี่จูตี้ เจ้าช่างเก่งกาจน่าทึ่งยิ่งนัก!” อู๋ซ่างหวงยกนิ้วโป้งให้ คำที่เรียกพี่สาวคำนี้ เขาเรียกได้อย่างเต็มอกเต็มใจอย่างยิ่ง
คุณย่าหยวนกลอกตามองบนใส่เขา “มันใช่เรื่องใหญ่โตเสียที่ไหนกันล่ะ? คนเรากินอาหารสารพัด ยังไงก็ต้องมีวันที่ล้มป่วยเป็นธรรมดา โรคนี้ของข้ายังมีทางรักษา นับได้ว่าในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ ในเมื่อยังมีโชคดีก็นับว่าเป็นเรื่องดี ใช้กำจัดความโชคร้ายที่อยู่ข้างหน้าให้หมดไปได้”
“เก่งกาจน่าทึ่ง…..” อู๋ซ่างหวงพยายามรีดเค้นสมองอย่างถึงที่สุด คิดอยากหาคำชมที่เหมาะสมที่สุด เอามาใช้พูดชื่นชมสรรเสริญพี่จูตี้ แต่กลับพบว่าคลังคำศัพท์ในสมองของเขาออกจะเล็กไปหน่อย คำว่าเก่งกาจน่าทึ่ง จึงถือว่าเป็นคำสรรเสริญที่เขาคิดว่ามันยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
หยวนชิงหลิงหันกลับไปเช็ดน้ำตา แม้ว่าอัตราความสำเร็จของการผ่าตัดจะค่อนข้างสูง แต่พอคิดว่าคุณย่าที่อายุมากแล้ว ยังต้องทนรับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดอีก ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา
จะเห็นได้ว่า ต่อให้เป็นคนที่มีความสามารถมากมายแค่ไหน ก็ยังถูกพันธนาการด้วยสิ่งที่เรียกว่าความรักใคร่ผูกพันได้ จนสูญเสียความสงบเยือกเย็นและเหตุผลไป
คุณย่าตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยตัวเอง กำหนดชัดแล้วว่าจะรักษาด้วยแผนการผ่าตัด ดังนั้นทุกคนจึงยึดตามแผนการนี้เพื่อดำเนินการต่อไป
หลังการผ่าตัด ยังต้องให้เคมีบำบัดแบบฉีดเฉพาะที่ด้วย ดังนั้น ในครั้งนี้หยวนชิงหลิงต้องอยู่ที่ยุคปัจจุบันนานขึ้นอีกหน่อย เธออยากพาคุณย่าที่แข็งแรงดีกลับไปที่จวนอ๋องซู่ ช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ทุกสิ่งที่เธอรักใคร่ให้ความสำคัญต่างก็อยู่ที่นั่น เธออยากกลับไปที่นั่น