บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1908 หลังผ่าตัดเสร็จ
อู๋ซ่างหวงบอกกับนางว่า นับตั้งแต่ตอนที่นางจากมา แม่นมสี่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน มู่หรูกงกงก็เกิดเรื่องร้าย จวนอ๋องซู่ทั้งจวนต่างก็อยู่กันอย่างไม่เป็นสุข ดังนั้น จวนอ๋องซู่จึงไม่อาจไม่มีนาง
เขาใช้วิธีของเขาบอกกับพี่จูตี้ ว่าแท้จริงแล้วนางมีความสำคัญขนาดไหนกับจวนอ๋องซู่ และสำคัญขนาดไหนต่อเป่ยถัง
เจ้าหยวนเคยบอกไว้ว่า ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีกำลังใจในการมีชีวิตต่อที่เข้มแข็ง จากนั้นถึงจะยอมให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างเต็มที่ แบบนี้ถึงจะทำให้ดีขึ้นได้
ย่าหยวนค่อย ๆ เอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้หิน ฟังเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วที่หาได้ยากยิ่งของอู๋ซ่างหวง มองดูเงาของต้นไม้ใบหญ้าในสวน ความทรงจำตอนที่อยู่ในเป่ยถังไหลบ่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ ยังต้องอดทนต่ออีกนิด ต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“พวกเรากลับกันเถอะ พักผ่อนให้เร็วหน่อย เจ้าก็ไม่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ฉันจะเรียกหลานชายมารับเจ้ากลับไป”
“ข้าไม่กลับไปหรอก ข้ามาอยู่กับเจ้าที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของพวกเขาทุกคน” คำว่าพวกเขาที่อู๋ซ่างหวงพูด คือพวกเขาทุกคนในจวนอ๋องซู่ ทุกคนที่เคยถูกนางฉีดยาพร่ำเพรื่อ ทุกคนที่ต่อหน้าล้วนทำเป็นเชื่อฟังนาง แต่ลับหลังกลับแอบด่านาง ว่าเป็นเหมือนหัวหน้าแม่มดจอมโหด
“เตียงคนเฝ้าไข้มันเล็กขนาดนั้นแท้ ๆ เจ้าหลับสบายหรือ? เจ้าเคยต้องเจอเรื่องทุกข์ยากลำบากขนาดนี้ด้วยหรือไร?” ย่าหยวนรู้สึกเป็นห่วงเขามาก
“เตียงเฝ้าไข้เล็ก อย่างไรก็ยังเป็นเตียงนะ แต่ก่อนตอนที่ข้าอยู่ในสนามรบ เจอซากศพคนตายกองเป็นภูเขา ก็ยังต้องเคยนอนให้หลับมาแล้ว” อู๋ซ่างหวงช่วยพยุงย่าหยวนขึ้นมาพลางพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปเถอะ พวกเรากลับกันดีกว่า พักผ่อนให้เร็วขึ้นสักหน่อย สะสมพลังกายใจให้เข้มแข็ง ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร การพักผ่อนนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ”
ย่าหยวนยิ้มพลางส่ายหน้า ตาแก่หัวดื้อคนนี้กล่อมยังไงก็ไม่ได้ผล ยังดื้อหัวชนฝาไม่เปลี่ยน
การผ่าตัดจะเริ่มในเวลาแปดโมงตรง พอหกโมงกว่า ๆ สมาชิกตระกูลหยวนก็มากันแล้ว
ศาสตราจารย์ฟางยังพาบุคคลที่เป็นดั่งเสาค้ำทะเลสุดเทพมาด้วยอีกคน นั่นก็คือหมอหยางหรูไห่ ศาสตราจารย์ฟางยิ้มพลางพูดว่า “วันนี้ หมอหยางจะมาเป็นหมอผู้ช่วยในการผ่าตัดของผม ทุกคนวางใจได้เลยครับ”
สมาชิกตระกูลหยวนดีใจหาใดเปรียบ รีบพูดขอบคุณกันเป็นพัลวัน
อู๋ซ่างหวงแตะที่ข้อศอกของหยวนชิงหลิงเบา ๆ “เจ้าเป็นหมอผู้ช่วยไม่ได้รึ? เจ้าก็เข้าไปช่วยได้นี่”
หยวนชิงหลิงอธิบายด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ข้าไม่ใช่หมอของโรงพยาบาลนี้ ทำการรักษาที่นี่ไม่ได้ รวมถึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการผ่าตัดไม่ได้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ข้าอนุญาตเอง” อู๋ซ่างหวงจ้องเธอเขม็ง “อย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นคนของเป่ยถัง คำพูดของข้าเจ้าต้องเชื่อฟัง”
สรุปง่าย ๆ คือถ้าเธอไม่เข้าไป เขาก็ไม่มีทางวางใจได้
หยวนชิงหลิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ดึงตัวเขาไปอีกด้าน ทั้งพูดปลอบทั้งรับประกันว่า “มีศาสตราจารย์ฟางกับหมอหยางอยู่ คุณย่าจะต้องออกมาได้อย่างปลอดภัยแน่เจ้าค่ะ ถ้าข้าเข้าไปอาจกลายเป็นไม่ดีขึ้นมาก็ได้ ท่านลองคิดดูนะ ข้าเป็นหลานสาวของนาง ข้าต้องรู้สึกเคร่งเครียดและประหม่ามากแน่ ๆ ยิ่งคิดกังวลมากก็ยิ่งสับสนได้ง่ายนะเจ้าคะ”
อู๋ซ่างหวงรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ แต่ก็ไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะนางเคยรักษาทุกคนมาหมดแล้ว ทั้งยังเคยรักษาเขามาแล้วด้วย หรือจะบอกว่าตอนที่นางทำการรักษาพวกเขา นางไม่ได้คิดกังวลมากจนเกิดความสับสน?
แล้วถ้าหากจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาหาความจริงให้ได้ สาระสำคัญก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะแปลว่าในใจของเจ้าหยวนนั้น ไม่เคยมีทุกคนเป็นสิ่งสำคัญอย่างนั้นสินะ ฮึ!
แต่ตอนนี้พี่จูตี้กำลังจะเริ่มผ่าตัดแล้ว เขาจะยังไม่คิดบัญชีกับนางก่อนเป็นการชั่วคราว รอให้กลับไปถึงเป่ยถังก่อนเถอะ เจ้าได้เจอดีแน่ เขาจะไปเรียกทุกคนในจวนอ๋องซู่มาสอบสวนนางทีละคน ๆ จนครบเลยทีเดียว
หลังจากเข้าไปในห้องผ่าตัด อู๋ซ่างหวงก็รู้สึกเครียดสุดขีด แต่ได้เห็นว่าคนตระกูลหยวนต่างก็ไม่มีท่าทีร้อนอกร้อนใจอะไรเลย เขาก็พลอยคิดไปว่านี่อาจเป็นแค่การผ่าตัดเล็ก ๆ เท่านั้นจริง ๆ ก็ได้
ติดอยู่แค่ว่า พอการผ่าตัดผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง สมองของเขาก็เริ่มคิดอะไรวุ่นวายสับสนขึ้นมาอีกแล้ว ที่พวกเขาไม่ร้อนใจ อาจเป็นเพราะพวกเขาไร้หัวใจ ถึงได้ไม่รู้สึกห่วงใยพี่จูตี้
นี่มันช่างทำให้ราชาพิโรธโกรธเคืองเสียจริง
แต่แล้วความคิดอันแสนเหลวไหลไร้สาระเหล่านี้ก็พลันสลายหายไปไม่มีเหลือ หลังจากที่ไฟในห้องผ่าตัดดับลง
เพราะหลังจากไฟดับไปได้ครู่หนึ่ง ศาสตราจารย์ฟางก็เดินออกมา ถอดหน้ากากออก อู๋ซ่างหวง เห็นสีหน้าของเขาที่ดูเหมือนยกภูเขาออกจากอก เช่นนั้นย่อมพิสูจน์ได้ว่าพี่จูตี้ปลอดภัยไร้เรื่องราวแน่นอนแล้ว
ผลเป็นไปตามคาด ปากกว้าง ๆ ของศาสตราจารย์ฟางเอ่ยพูดคำที่เขาชอบฟังมากที่สุดออกมาว่า “การผ่าตัดประสบความสำเร็จดีมาก ทุกคนสบายใจได้ครับ”
ในเวลานี้เอง อู๋ซ่างหวงจึงเห็นว่าในดวงตาของสมาชิกตระกูลหยวนมีน้ำตาคลอเบ้า อารมณ์ของพวกเขาดูเหมือนจะหลุดการควบคุม ต่างโผเข้ากอดกันแน่นแล้วร้องไห้ออกมา
สิ่งนี้เองทำให้เขาก็รู้ว่า ตอนแรกพวกเขาต่างก็ฝืนเก็บกดความวิตกกังวลเอาไว้ ชั่วขณะนั้นอู๋ซ่างหวงพลันรู้สึกว่าการฝึกฝนของตนเองยังใช้ไม่ได้ ถึงขั้นที่เอาไปเทียบกับพวกเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ว่ากันตามจริง เขาควรจะต้องเป็นผู้นำในการควบคุมสถานการณ์โดยรวม ทำให้ขวัญกำลังใจของทุกคนในกองทัพมั่นคงเสถียรถึงจะถูกต้อง
โชคดีที่ยังไม่สายเกินไป เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างเข้มงวดว่า “คนไม่เป็นไรแล้ว จะร้องไห้กันทำไม? ไม่ต้องร้องแล้ว”
เมื่อเจอคำพูดของ “คนสำคัญที่เป็นแกนกลางของกลุ่ม” เข้าไป อารมณ์ของทุกคนก็เริ่มกลับสู่การควบคุมขึ้นมาได้บ้าง แต่ตอนนี้พวกเขายังเข้าไปไม่ได้ ทุกคนต่างก็รอคอยอย่างอดทน รอให้คุณย่าหยวนออกมา
คุณย่าหยวนไม่ได้ถูกส่งกลับไปที่ห้องผู้ป่วยทั่วไป แต่ยังอยู่ในห้อง ICU เพื่อสังเกตอาการ เพราะถึงยังไงเธอก็อายุมากแล้ว จึงกลัวว่าอาจเกิดการติดเชื้อหลังผ่าตัด หรืออาจจะมีผลข้างเคียงที่ตามมาภายหลังก็เป็นได้
ที่จริงก็พอจะเข้าไปเยี่ยมได้ แต่ต้องเข้าไปทีละคน อู๋ซ่างหวงเข้าไปเป็นคนสุดท้าย เขาเป็นคนเอ่ยปากยืนกรานเองเลยว่า เขาจะขอเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
นางยังไม่ฟื้น ดูแล้วมีสภาพที่อ่อนแอมาก ต้องใส่ท่อออกซิเจน ทั้งยังมีท่ออีกหลายท่อที่เชื่อมต่อกับเจ้าเครื่องที่มันส่งเสียงดังปิ๊บ ๆ ๆ นั่น พี่จูตี้ที่มีสภาพเช่นนี้ อู๋ซ่างหวงไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อคิดถึงท่าทางอันแข็งแกร่งแสนจะเผด็จการของนางเมื่อสมัยก่อน กับได้มาเห็นท่าทางที่อ่อนแอของนางในตอนนี้ อู๋ซ่างหวงก็พลันรู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง