บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1910 กลับสู่ความสงบ
ก่อนที่หยวนชิงหลิงจะกลับไป หยางหรูไห่ก็แวะมาคุยกับเธอเกี่ยวกับยาที่พัฒนาขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ ซึ่งได้รับการทดสอบทางคลินิกแล้ว เปิดกลุ่มทดลองเป็นที่เรียบร้อย ผลทั้งหมดรอแค่ให้ข้อมูลออกมาเท่านั้น
คำพูดของหยางหรูไห่เป็นการปลอบใจหยวนชิงหลิง แม้ว่าโรคของคุณย่าอาจจะกลับมาเกิดขึ้นอีก หรือต่อให้สุดท้ายร่างกายคุณย่าจะดื้อกับตัวยาที่ใช้รักษาแบบตรงเป้า แต่ก็ยังมียานี้เป็นตัวช่วยสำคัญ ให้เธอวางใจได้ รวมทั้งขอบคุณในความพยายามของเธอ
หยวนชิงหลิงรู้สึกละอายใจมาก “ไม่ใช่ความพยายามของฉันหรอกค่ะ แม้ว่าจะเป็นทีมที่ฉันเป็นผู้นำ แต่คนที่ทุ่มเทลงแรงมากที่สุดไม่ใช่ฉัน”
“เป็นความพยายามของคุณนั่นแหล่ะ ไม่ต้องปฏิเสธหรอก ในช่วงหลายปีมานี้ทีมที่คุณเป็นผู้นำได้พัฒนายาใหม่ ๆ ออกมามากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนไม่น้อย ถ้าไม่มีคุณเป็นแกนหลักสำคัญของทีม พวกเขาคงต้องเดินทางอ้อมวกวนกันอีกนาน ถึงขั้นที่ว่าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จได้เลยด้วยซ้ำ”
ในดวงตาของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ฉันหวังจริง ๆ นะว่าโรคภัยทั้งหมดในโลกใบนี้ จะมียาที่ใช้รักษาให้หายได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามของทุกคนแล้วล่ะ แต่ในทุกมุมของโลกนี้ ล้วนมีคนที่ยอมทุ่มเทเพื่อมัน และพร้อมจะทำมันไปตลอดชีวิตด้วย”
หยางหรูไห่ให้ความเคารพอย่างสูงสุดต่อคนเหล่านี้ พวกเขายืนหยัดวันแล้ววันเล่า พบเจอความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะสุดท้ายพวกเขาเชื่อว่ามันต้องมีสักวันที่จะประสบความสำเร็จ
หลังจากกลับถึงเป่ยถังแล้ว หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงก็ตรงไปจวนอ๋องซู่ก่อน เพื่อปลอบประโลมใจของทุกคนให้สงบ
เมื่อได้ยินว่าพี่จูตี้ล้มป่วย ทุกคนต่างกังวลใจมาก แต่เมื่อได้ยินว่าการรักษาได้ผลดี อีกทั้งนางจะกลับมาได้ในอีกไม่ช้า หัวใจของทุกคนก็ค่อย ๆ สงบลง จากนั้นก็ยุ่งกับภาระหน้าที่ของตัวเองต่อ รอการกลับมาของพี่จูตี้
อาการของแม่นมสี่ดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้มากภายใต้สายตาที่จับจ้องของท่านฉู่ เมื่อเห็นความเฉียบขาดของท่านฉู่ แม่นมสี่ก็ตัดสินใจว่าจากนี้นางจะไม่แตะงานซักผ้าถูบ้านใด ๆ อีกแล้ว แค่อยากจะทำอาหารสักมื้อก็ยังโดนห้ามนั่นห้ามนี่ไปหมด
ในจวนอ๋องซู่ไม่มีบ่าวรับใช้ พวกเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทองเพื่อเลี้ยงดูบ่าวรับใช้ ตอนสมัยหนุ่ม ๆ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้ จะเสื้อผ้า จะทำอาหาร ล้วนลงมือทำด้วยตัวเองทั้งนั้น ทั้งยังมีการแบ่งกลุ่มกันเพื่อทำความสะอาดภายในจวนอ๋องซู่ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังลงครัวทำอาหารเองได้ด้วย ท่านน้าทั้งสองรวมถึงแม่นมชิวก็ไม่ได้ทำงานอะไรตอนนี้ กลุ่มชายชราชุดดำคิดว่าร่างกายของพวกนางนับว่าด้อยกว่าพวกเขามาก ถ้าให้ทำอาหารเป็นบางครั้งบางคราวก็ยังพอได้ แต่ถ้าจะทำพวกงานหนัก ๆ ตลอด จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเด็ดขาด
พวกนางไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเรื่องพวกนี้ต่อไปแบบไม่หยุดไม่พัก
เดิมทีในจวนอ๋องซู่ก็มีผู้หญิงน้อยอยู่แล้ว ถ้าทำงานจนเหนื่อยตายไป เช่นนั้นพลังหยางของเพศชายก็จะยิ่งแรง ไม่มีความอ่อนโยนนุ่มนวลจากพลังหยินของเพศหญิงมากดไว้จนสูญเสียสมดุล ตามศาสตร์หวงจุ๊ยแล้วนี่ถือว่าไม่เป็นมงคล
ตอนที่หยวนชิงหลิงกลับมาถึงวัง ต้าหมอก็ยังอยู่ เดิมทีเขาบอกไว้ว่าจะอยู่แค่สักสองสามวัน แต่หลังจากได้ยินเจ้าห้าบอกว่าทางนั้นเกิดเรื่อง เขาเลยตัดสินใจอยู่ที่นี่รอ เผื่อไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง
รั้งอยู่ที่เป่ยถังเสียหลายวัน เขากับสวีอีก็กลายเป็นเพื่อนกัน พอรู้ว่าสวีอีกังวลเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของลูกสาว เขาก็บอกสวีอีว่าไม่ต้องกังวล เทพแห่งชะตาได้กำหนดไว้นานแล้ว ถ้าเขาไม่พอใจ ต้าหมอสามารถไปหาเฒ่าจันทรา แล้วขอให้เฒ่าจันทราหาคู่ดี ๆ ให้ถังกั่วเอ๋อ
เหตุผลที่สวีอีชอบต้าหมอ ก็คือวิธีการพูดจาโอ้อวดของเขามันฟังดูแล้วเหมือนจริงมาก ทำให้คนที่ได้ยินเกิดความรู้สึกคล้อยตามได้จริง ๆ แต่พอลองมาคิดดูทีหลัง ก็รู้สึกว่าการคุยโม้โอ้อวดนั้นมันออกจะเกินจริงไปสักหน่อย
ต้าหมอยังถึงกับตบหน้าอกผาง ๆ แล้วพูดว่า ในสามภพนี้ ไม่มีใครที่ไม่ให้เกียรติเขาหรอก ใบหน้าดวงนี้ของเขา เอาไปขายที่ไหนก็มีค่ามหาศาล
ยึดตามอาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ของมู่หรูกงกง ทุกอย่างในวังจึงเป็นระเบียบและเป็นขั้นเป็นตอนมาก
มู่หรูกงกงเริ่มฝึกอบรมคนกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีกกลุ่ม นี่คือเรื่องที่เขารู้สึกว่าอดรนทนรอไม่ได้มากที่สุดแล้ว เพราะต้องใช้เวลาอบรมสั่งสอนหลายปี ถึงจะสามารถส่งไปรับใช้ข้างวรกายฝ่าบาทได้
บวกกับหลังผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่รู้เลยว่าอายุขัยของตัวเองจะหมดลงเมื่อไหร่ ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอน ต่อให้พยายามดูแลสุขภาพมากแค่ไหน ก็ไม่อาจต้านทานต่อเหตุไม่คาดฝันหรือแผนการชั่วร้ายในใจคนได้ เขาจะต้องเลือกเฟ้นคนที่เหมาะสมที่สุดเพื่อฝ่าบาท
ในวังไม่เคยขาดแคลนคนที่ขยันคล่องแคล่ว คนที่ฉลาดหลักแหลม คนที่ตื่นตัวหูตาว่องไว แต่เมื่อถึงการประเมินลักษณะรอบด้าน เขาก็มักจะรู้สึกว่ายังขาดอะไรไปสักอย่าง
เฮ้อ! นั่นสินะ จะไปหามู่หรูกับสวีอีคนที่สองได้จากที่ไหนล่ะ? ใต้เท้าสวีนับว่ายังหนุ่ม ยังอยู่รับใช้ข้างกายฝ่าบาทได้อีกหลายสิบปี แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมตอนตัวเองเป็นขันทีหรือไม่
ในใจเขาคิดเรื่องนี้ไปพลาง ก็อดเหลือบตามองไปทางใต้เท้าสวีที่ยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษรไม่ได้ แต่ก็ช่างเถอะ เขาไม่อยากทำผิดต่อตระกูลหยวน
ช่วงมื้อค่ำ สวีอีกลับไปอยู่กับครอบครัวของเขา มู่หรูกงกงอยู่รับใช้ฝ่าบาทและฮองเฮา ส่วนเด็ก ๆ ต่างก็มีกิจกรรมส่วนตัวของใครของมัน มื้อเย็นนั้นไม่กินก็ย่อมได้ เพราะถึงอย่างไร จะในหรือนอกวังก็ไม่ได้ขลาดแคลนอาหารการกินอยู่แล้ว
หยู่เหวินเห้าเรียกให้มู่หรูกงกงนั่งลงกินข้าวด้วยกัน มู่หรูกงกงส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่มีกฎเกณฑ์ข้อนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“คำพูดของข้าเจ้ากล้าไม่ฟังแล้วรึ?” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“กฎก็คือกฎพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีกฎข้อไหนที่ให้บ่าวรับใช้ร่วมมื้ออาหารกับเจ้านาย” มู่หรูกงกงมองดูอาหารตรงหน้า กลิ่นหอมเตะจมูกไม่หยุด ท้องพลันหิวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ “แต่ถ้าหากฝ่าบาททรงเมตตาแบ่งปันอาหารให้ข้าน้อย ข้าน้อยสามารถยืนกินได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าพึมพำต่อว่าเขาไปประโยคหนึ่ง แล้วแบ่งอาหารส่วนหนึ่งแยกให้เขาหนึ่งชุด มู่หรูกงกงยืนอยู่อีกด้านพลางถือมันไว้อย่างมีความสุข รอจนฝ่าบาทกับฮองเฮาเริ่มเสวย เขาก็เริ่มกินด้วยเช่นกัน