บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1912 สวีอีกับอะซี่ทะเลาะกันแล้ว
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1912 สวีอีกับอะซี่ทะเลาะกันแล้ว
หลังจากที่พระชายาชินเฟิงอันกลับมาถึงจวนอ๋องซู่ ก็ตัดสินใจว่าต่อให้ตีนางให้ตายก็จะไม่ไปขุดแร่เด็ดขาด จากนั้นก็เข้าวังไปคุยกับหยวนชิงหลิง
พอดีกับที่รัชทายาทก็พาฉื้อถงมาน้อมทักทาย หลังจากที่นางได้เจอฉื้อถง ก็เข้าไปดึงมือฉื้อถงมาคุยด้วยพักใหญ่
หลังจากส่งพวกเขาออกไปแล้ว พระชายาชินเฟิงอันก็ถามว่า “เจ้าตัดสินใจว่าจะจองตัวให้รัชทายาทแล้วหรือ?”
หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีการตัดสินใจแบบนี้จริง”
“ภูมิหลังของนาง เจ้ารู้หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงตอบว่า “ธิดาบุญธรรมของฮองเฮาเซวียแห่งแคว้นต้าซุ่น นามชั้นยศคือเจ้าหญิงเฉาหยาง นางนับว่ามีชะตาต่อเจ๋อหลานของเรามาก กระทั่งนามชั้นยศก็ยังเหมือนกันเลย”
“ธิดาบุญธรรม? เจ้ารู้แค่ว่าเป็นธิดาบุญธรรมเท่านั้น ใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงมองนาง แล้วหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “อันที่จริงข้าก็รู้หมดทุกอย่างนั่นล่ะ เรื่องพวกนี้ข้ารู้ดีแก่ใจ อยู่ที่ว่าจะพูดหรือไม่พูด มันเป็นเรื่องระหว่างพวกนางแม่ลูก จะเชื่อมต่อสายสัมพันธ์กันเมื่อไหร่ จะเชื่อมต่อกันที่ไหน ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยจะดีกว่า ”
พระชายาชินเฟิงอันพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าพูดถูก ที่นี่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวพันกันมากเกินไป เราไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ พูดไปก็ไม่เข้าใจแน่ ปล่อยให้พวกนางแม่ลูกค่อย ๆ ทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดกันเองดีกว่า”
“เจ้าค่ะ พระชายาเชิญดื่มชาก่อน” หยวนชิงหลิงพูดอย่างใส่ใจ
พระชายาดื่มชาหมดไปสองถ้วยก็จากไป หยวนชิงหลิงคิดอยากจะอ่านหนังสือสักหน่อย แต่กลับเห็นว่าอะซี่เดินเข้ามา
ที่แล้วมาอะซี่ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลไม่ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ใด ๆ หลายปีมานี้รูปร่างนางอวบขึ้นเล็กน้อย แก้มกลมแดงเปล่งปลั่งดั่งสีของดอกกุหลาบ แต่ในแววตากลับมีร่องรอยบูดบึ้งให้เห็น แต่พอมองดูดี ๆ กลับไม่ใช่ความแดงปลั่งดั่งกุหลาบ แต่เป็นเพราะโกรธจนหน้าแดงต่างหาก
“เป็นอะไรไป?” หยวนชิงหลิงเห็นท่าทางแบบนั้น ก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ดูเจ้าสิ โกรธจนหน้าแดงไปหมดแล้ว”
อะซี่นั่งลงด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด “ปกติหน้าของข้าก็แดงอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะโกรธเขาจนหน้าแดงเสียหน่อย”
“ไปยกชามา!” หยวนชิงหลิงมองนาง ยิ้มพลางหันไปสั่งคนยกชาว่า “เติมผลไม้เชื่อมหรืออะไรพวกนั้นเข้าไปเสียหน่อย ให้ฮูหยินสวีกินอะไรหวาน ๆ ดับความโกรธสักนิด”
หลังจากน้ำชากับของว่างมาถึง อะซี่ก็ยกชาร้อน ๆ เข้าปากแล้วดื่มรวดเดียวหมดแก้ว น้ำชาร้อน ๆ ลวกจากคอไหลลงไปจนถึงท้อง สีหน้าของนางยิ่งดูโกรธจนแดงก่ำขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก
“พูดมาเถอะ ว่าเป็นอะไรไป?” หยวนชิงหลิงเห็นหน้าที่แดงอย่างกับประทัดของนางก็รู้สึกว่านางน่ารักจริง ๆ หลายปีมานี้นางใช้ชีวิตภายใต้การดูแลเอาอกเอาใจของสวีอี นิสัยของนางจึงยังดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ซึ่งนับได้ว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว
แต่หยวนชิงหลิงคิดอยากบอกนางอยู่เสมอว่า ตอนนี้ลูกสาวของนางโตแล้ว ส่วนลูกชายก็กำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ นางเป็นภรรยาของสวีอีนั้นไม่ผิด แต่นางก็เป็นแม่ของลูก ๆ ของนางด้วย คนเป็นแม่นั้นต้องเป็นได้ทุกอย่าง หลังจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่ต้องวางแผนให้กับลูก ๆ ในอนาคต นางจะเอาแต่ไร้เดียงสาอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ อย่างไรก็ต้องรู้จักความซับซ้อนในใจคน ต้องหัดเรียนรู้ ต้องเข้าใจความคิดอันวกวนคดเคี้ยวของใจคนให้ได้ถึงจะดี
ทุกครั้งที่พูดเกริ่นแบบนี้อะซี่ก็จะทำเหมือนไม่สนใจไม่รับรู้ เอาแต่พูดว่าไม่อยากเสแสร้งทำอะไรไม่จริงใจ ไม่อยากทำเป็นปากหวานเวลาเข้าสังคมเพื่อจะให้คนมาชมชอบ
หยวนชิงหลิงเข้าใจดี ว่าทำไมนางถึงไม่อยากออกไปสังสรรค์เข้าสังคม แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในวัง ลูกชายลูกสาวต่างก็ถูกเลี้ยงอยู่ในวัง แต่เพราะตำแหน่งการงานของสวีอีไม่สูง ทั้งยังเป็นคนเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไม่คิดเล็กคิดน้อย พอมีใครมาขอให้เขาทำอะไร ส่วนใหญ่ก็จะรับปากทำให้หมด เดิมทีนี่ถือเป็นเจตนาดี แต่ก็มักจะมีพวกไม่แยกแยะดีชั่ว แอบพูดจาเยาะเย้ยลับหลังว่าเขาเป็นพวกเกาะกระโปรงเมียที่เป็นคนตระกูลหยวน ถึงได้รับการเคารพนับถืออย่างกว้างขวาง อยากรู้จักกับชนชั้นสูงที่มีอำนาจ เลยช่วยคนอื่นทำงานเพื่อจะได้มีชื่อเสียงดี ๆ
เรื่องพวกนี้ หยวนชิงหลิงก็รู้มาตลอด แต่เพราะสวีอีกับอะซี่ไม่พูด ถ้านางพูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา จะกลายเป็นว่า มันอาจทำลายความภูมิใจในตนเองของพวกเขาลงก็ได้
ยังมีอีกเรื่อง นั่นก็คือเจ้าห้าเคยบอกว่าเขาจะรับถังกั่วเอ๋อเป็นลูกสาวบุญธรรม แต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าพูดเรื่องนี้แล้ว เพราะเมื่อไหร่ที่เขารับนางเป็นลูกอย่างถูกต้องตามพิธีการ จะอย่างไรก็ต้องแต่งตั้งชั้นยศ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นระดับจวิ้นจู่
แต่เมื่อไหร่ที่เรื่องเป็นไปตามนี้ สุดท้ายมันจะไม่ใช่ตำแหน่งจากผลงานที่สวีอีมานะบากบั่นจนได้มา สวีอีจะยิ่งถูกหัวเราะเยาะหนักขึ้นกว่าตอนนี้แน่ คำพูดเยาะเย้ยจากภายนอกจะฟังน่าเกลียดขนาดไหน แค่คิดเอาเองก็รู้แล้ว ไม่พ้นคำพูดทำนองว่าตอนแรกก็พึ่งตระกูลเมีย มาตอนนี้ก็พึ่งลูกสาวอีก
นิสัยของสวีอี มีหรือที่จะทนรับคำพูดแบบนี้ได้?
ดังนั้น การที่ตอนนี้อะซี่มาที่นี่ ในใจนางจึงรู้ชัดแล้ว
ผลเป็นไปตามคาด หลังจากที่อะซี่กินผลไม้ไปสองลูก ก็ยอมเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ข้าทะเลาะกับสวีอีไปยกหนึ่ง เรื่องการแต่งงานของถังกั่วเอ๋อ”
พูดจบ ก็ถอนหายใจยาว ๆ เฮือกหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าในใจนางเองก็รู้ดีว่าการทะเลาะครั้งนี้ไม่มีบทสรุปที่ทำให้แน่ใจได้
“เป็นญาติกับราชวงศ์เป็นเรื่องที่ดีออก ทำไมต้องทะเลาะกันด้วยล่ะ?” หยวนชิงหลิงเป็นฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นให้นาง อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องให้นางเป็นฝ่ายพูดออกมาเองถึงจะไปต่อได้
อะซี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องการแต่งงานของถังกั๋วเอ๋อ เดิมทียกให้เป็นหน้าที่ของท่านย่า ให้ท่านมองหาคนที่เหมาะสมให้ สายตาของท่านย่าน่ะเชื่อถือได้แน่นอน ว่าจะต้องคัดสรรคนที่มีภูมิหลังครอบครัวดี นิสัยใจคอเหมาะสม ค่อยมาคุยกับพวกเรา”
“นั่นสิ ถ้าให้ท่านย่าเจ้าจัดการให้ รับรองได้เลยว่าวางใจได้แน่”
ขอบตาของอะซี่แดงเรื่อ “ที่ผ่านมาท่านย่าเลือกลูกเขย จะเน้นดูแค่คุณสมบัติของตัวคน ไม่ได้สนใจภูมิหลังของครอบครัว แค่ดูจากการที่นางยอมยกข้าให้แต่งกับสวีอีก็คงจะรู้แล้ว แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นางสรรหาคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ไว้หลายตระกูล ข้างนอกก็เริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาลอยมาเข้าหูสวีอี พอสวีอีกลับมาถึงบ้าน ก็พูดว่าเรื่องหาบ้านสามีให้ถังกั๋วเอ๋อ ไม่จำเป็นต้องหาจากตระกูลผู้ลากมากดีมียศมีศักดิ์อะไรทั้งนั้น ให้มองหาครอบครัวธรรมดาสามัญก็พอ บ้านใครเป็นประตูไม้ก็คู่กับประตูไม้ บ้านใครล้อมรั้วไม้ไผ่ก็หาบ้านที่ล้อมรั้วไม้ไผ่ *(หมายถึงให้เสาะหาคนที่ครอบครัวเหมาะสมกัน) ข้าเชื่อใจท่านย่า ตอนนั้นเลยทะเลาะกับเขาเสียยกใหญ่ เขาถึงกับกระแทกประตูแล้วเดินออกไปเลย ที่แล้วมาเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ใส่ข้ามาก่อนเลยนะ”