บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1913 สถานการณ์ของสวีอี
หยวนชิงหลิงได้ยินที่นางพูด ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย สวีอีถึงขั้นกล้าแสดงอารมณ์โมโหโกรธาขนาดนี้ใส่อะซี่เลยหรือ?
คนข้างนอกเล่าลือว่าอะไรกันแน่? ถึงได้ทำให้เขาคับข้องใจถึงขนาดนี้ ? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ที่คนเขาเล่าลือกัน ตัวเขาก็รู้อยู่หรอกหรือ? เดาคร่าว ๆ ก็น่าจะรู้พอสมควร
เดิมคิดว่าเขาเป็นคนเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไม่เคยเก็บเอาข่าวลือไร้สาระพวกนี้มาใส่ใจ แต่คิดไม่ถึงว่าหัวใจของเขามันทั้งใสทั้งบางไม่ต่างจากกระจกมาโดยตลอด เจ้าโง่คนนี้ ทั้งที่คนอื่นทำแบบนี้กับเขาแท้ ๆ เขาก็ยังพยายามทำทุกอย่างด้วยใจที่มีเจตนาดีอย่างสุดกำลัง
หยวนชิงหลิงพูดว่า “คนที่ท่านย่าของเจ้าหามา แม้จะเป็นตระกูลผู้ลากมากดี ทั้งยังต้องมีบุคลิกกับนิสัยใจคอที่ดีมากแน่ แต่พอตอนนี้ได้เข้าใจสถานการณ์แบบชัด ๆ แล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าบรรดาตระกูลที่ท่านย่าไปทาบทามไว้ อาจมีคนเคยพูดจาในทำนองที่ว่ารังเกียจการแต่งงาน ? หรือไม่ก็มีคนอื่นที่รู้เรื่องนี้แล้ว เอาออกไปพูดโพนทะนาว่าร้ายข้างนอก?”
ใบหน้าของอะซี่ห่อเหี่ยวลง พูดด้วยน้ำเสียงบูดบึ้งว่า “ข้าก็ไม่รู้ ถามอะไรไปเขาก็ไม่ตอบ ข้าเองก็ไม่กล้าบอกท่านย่า คิดว่าจะแอบไปสืบเองอย่างลับ ๆ สักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสืบอย่างไร ถึงได้มาคุยกับพี่หยวนนี่ล่ะ”
“แล้วเจ้า… เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือไม่?” หยวนชิงหลิงถาม
อะซี่ลังเลไปครู่หนึ่ง “มันจะรบกวนท่านหรือไม่?”
“ไม่เป็นไรหรอก”
หยวนชิงหลิงยิ้มพลางหยิบผลไม้เชื่อมชิ้นหนึ่งใส่ปาก มองใบหน้าของอะซี่ที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด อะซี่หนออะซี่ อย่างไรก็ยังมีนิสัยเหมือนเด็กอยู่วันยังค่ำ โกรธปุ๊บก็หน้าแดง รู้สึกหงุดหงิดก็หน้าบึ้ง ดีใจก็ยิ้มเสียจนหน้าบาน
หยวนชิงหลิงมอบหมายเรื่องนี้ให้ใต้เท้าทังจัดการ ใช้วิธีการปกติเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
นับตั้งแต่เหตุการณ์ของคุณย่า นางพบว่าสมองของตัวเองเหมือนมีสวิตช์ที่ใช้บล็อกข้อมูลบางอย่างโดยอัตโนมัติ นางรู้ว่านี่คือกลไกป้องกันตัวเอง ใช้ป้องกันไม่ให้สมองของนางร้อนเกินไป จนทำให้เกิดอาการแฮงค์ได้
ดังนั้น ถ้าสามารถใช้วิธีปกติในการทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ ก็ควรใช้สองแขนสองขาให้มากขึ้นหน่อย ข้างนอกมีคนวิ่งทำงานทำการกันให้ขวักไขว่ มีสิทธิพิเศษของการเป็นฮองเฮาอยู่ทั้งที ก็ควรจะใช้ให้บ่อย ๆ หน่อยถึงจะถูกต้อง
ประสบการณ์ด้านการสืบหาข่าวคราวของใต้เท้าทัง ก็นับได้ว่าค่อนข้างเจนจัดอยู่มาก ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมข้อมูล
เขากลับไปรายงานฮองเฮา แจ้งว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนได้เลือกผู้ที่เข้าตาไว้สามคน คนหนึ่งเป็นทายาทของจวนชิ่งกั๋วกง อีกคนเป็นท่านชายรองของเจ้าพระยาเซียงโหว ส่วนอีกคนเป็นหลานชายของจวิ้นจู่ใหญ่อาน
และครั้งนี้ที่สวีอีโดนคนนินทา ก็เป็นเพราะคนของจวิ้นจู่ใหญ่อานไปเที่ยวพูดโพนทะนาว่า ลูกสาวของเขามีสถานะอะไร? ถึงได้กล้าเหวี่ยงแหปากกว้างไล่จับลูกเขยสูงศักดิ์แบบนี้ กล้าเสาะหาแต่ครอบครัวชนชั้นสูงทั้งนั้น ไม่รู้จักชั่งน้ำหนักดูสถานะของตัวเองเสียบ้าง เป็นแค่คางคกยังริอาจจะกินเนื้อหงส์
อันที่จริงตอนที่ฮูหยินใหญ่เลือกหาคนที่เหมาะสม ก็ไม่ได้ประกาศให้สาธารณชนรู้ แค่ทำการปรึกษาหารือกันเป็นการส่วนตัวที่บ้าน กับบอกอะซี่และสวีอีแค่นั้น
แต่คาดไม่ถึงว่าตอนที่ลูกสะใภ้ของนางกับพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายนั่งดื่มชาอยู่ด้วยกัน ไปเอ่ยปากถามไถ่ถึงคนเหล่านี้ จนทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ทุกคนถึงได้รู้เรื่องนี้กันหมด
หลานชายของจวิ้นจู่ใหญ่อานมีชื่อว่าหม้ายชิงหวา เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง ตอนอายุสิบสามก็สอบผ่านแล้ว ครอบครัวของเขามองว่าเขาเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า เขาไม่สนใจเรื่องราวใต้หล้า อุทิศตนให้กับการเรียนรู้และศึกษาหาความรู้ในตำรา เคยเขียนบทกวีที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายจำนวนหนึ่ง จนมีแฟนคลับที่ชื่นชอบเขาด้วยอีกกลุ่ม
ในหมู่พวกเขา มีทั้งฮูหยิน ทั้งลูกสาวหลานสาวในครอบครัวข้าราชการอยู่ไม่น้อย เมื่อได้ยินว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนได้รวมชื่อของท่านชายหม้ายเข้าไปในรายชื่อคนที่ถูกเลือก ก็รู้สึกขุ่นเคืองใจ เรื่องซุบซิบที่ว่านี้ หากแพร่กระจายอยู่แค่ภายในก็ยังพอจะแล้วไปได้ ติดที่ว่าครอบครัวไหนไม่มีลูกชายหลานชายออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างล่ะ ? ลือกันไปลือกันมา ก็พลอยทำให้คนอื่นอีกหลายคนรู้ไปด้วย
บางคนในราชสำนักรู้สึกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้สร้างคุณงามความดีอะไร แค่คอยรับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาทเท่านั้น แม่ทัพบู๊ผู้สง่างามคนหนึ่ง ทำตัวเองจนเหมือนขันทีก็ไม่ปาน จึงอดดูถูกไม่ได้ พอได้เจอเขา ก็ยากจะเลี่ยงการพูดจากระแนะกระแหนสักหลาย ๆ ประโยคไม่ได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ด้วยนิสัยเรื่อยเฉื่อยของสวีอี ก็คงจะไม่รู้สึกว่าใจคอไม่เป็นสุข แต่ตอนนี้คนที่ถูกว่าคือลูกสาวที่แสนล้ำค่าของเขา ทุกคำพูดทุกประโยคมันช่างทำให้รู้สึกจุกอกไปหมด เลยเกิดเรื่องโต้เถียงกับคนอื่นอยู่หลายครั้ง
พอพูดถึงการปะทะฝีปาก มีหรือที่สวีอีจะเป็นคู่มือของพวกบัณฑิตได้? พอแต่ละคนยกกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติตามแบบแผนขึ้นมา ทีละกฎทีละเกณฑ์ สวีอีก็เป็นได้แค่ไอ้โง่คนหนึ่งแล้ว ไม่เข้าใจว่าทุกคนพูดอะไร สุดท้ายกลายเป็นว่าเขายิ่งถูกเยาะเย้ยว่าเป็นพวกนักรบที่รู้จักแต่ใช้กำลัง แต่ไม่มีสมอง ไม่มีความรู้
ถูกทำให้โกรธไม่พอ ยังเถียงสู้คนอื่นไม่ได้อีก จะเข้าไปต่อยตีขุนนางของราชสำนักก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ สวีอีจึงทำได้แค่ฝืนกลืนโทสะก้อนนี้ลงท้อง พอกลับถึงบ้านอะซี่ก็เข้ามาคุยเรื่องแต่งงานพอดี เขาที่กำลังอารมณ์เสียเลยระเบิดโทสะออกไป บอกว่าลูกสาวของเขาไม่อยากได้พวกลูกหลานผู้ลากมากดีพวกนั้น
หลังจากหยวนชิงหลิงได้ฟังรายงานของใต้เท้าทัง ก็ขมวดคิ้วมุ่น ” เมื่อก่อนสวีอีสร้างความดีความชอบไว้ตั้งมากมาย ทั้งยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่าบาท พวกเขาลืมผลงานเหล่านี้ไปหมดแล้วหรือ?”
ใต้เท้าทังพูดด้วยท่าทางจนใจ “นั่นมันเรื่องตั้งกี่ปีมาแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ตอนนี้ประเทศของเรามีเสถียรภาพ ไม่มีสงครามที่ชายแดน แน่นอนว่าพวกแม่ทัพนายกองต้องถูกหมางเมินแน่ บวกกับสวีอีก็เคยทำหน้าที่ของทางการ แต่กลับไม่ได้สร้างผลงานอะไรให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เลย กระทั่งงานตรวจสอบในกรมขุนนางก็ยังเป็นคำสั่งของฝ่าบาทที่แอบสั่งการอย่างลับ ๆ ให้ผ่านโดยสะดวก ช่วงหลายปีมานี้ โดยพื้นฐานแล้วเขาแค่ทำงานรับใช้ข้างกายฝ่าบาท เป็นงานจิปาถะที่ไม่ต่างจากหน้าที่ของขันที ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้โดนคนดูถูกยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
หยวนชิงหลิงคิด ๆ ดูแล้วก็เห็นว่ามันก็จริงตามนั้น คนเราย่อมลืมง่าย คนคนหนึ่งถ้าไม่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ก็จะถูกมองว่าไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะคนที่ติดตามข้างกายฮ่องเต้ ที่มักตกเป็นเป้าให้พวกขุนนางเจ้ายศเจ้าอย่างมองว่าเป็นได้แค่สุนัขรับใช้จอมประจบสอพลอ รู้จักแต่เลียแข้งเลียขาเจ้านายให้ตัวเองมีที่ยืน