บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1914 ควรช่วยใต้เท้าสวีสักหน่อย
สวีอีมีความสามารถในการทำงานหรือไม่? แน่นอนว่ามี ตอนอยู่บ้านเขากับใต้เท้าทังสองคนต่างร่วมแรงแข็งขัน ช่วยเจ้าห้าทำงานต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงมากมาย เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์มาด้วยกัน
กระทั่งตอนที่เจ้าห้าขึ้นครองราชย์ ยังมีเรื่องไม่สงบสุขทั้งภายในและภายนอก สวีอีก็เป็นคนวิ่งเต้นทำงานอย่างซื่อสัตย์เต็มกำลัง ช่วยจัดการเรื่องยาก ๆ มากมายจนลุล่วงไปได้
แต่สุดท้าย มันก็เหมือนกับชะตากรรมของวัวควายในถิ่นทุรกันดารทั้งหลาย เมื่อถึงตอนที่พืชผลเริ่มเติบโตอย่างแข็งแรงพร้อมเก็บเกี่ยว วัวควายที่ช่วยทำไร่ไถนาก็จะถูกปล่อยทิ้งขว้างหมางเมิน ถึงขั้นที่อาจถูกเลี้ยงแบบตามมีตามเกิดด้วยซ้ำ
ตอนนี้ราชสำนักปราศจากความวุ่นวายจากภายนอก ภายในก็แสนจะสงบสุข ที่ที่จะให้เขาออกแรงวิ่งก็น้อยลง วัวตัวนี้ จึงได้แต่ถูกทิ้งขว้างไว้เฉย ๆ มาจนถึงตอนนี้ การทำงานรับใช้ข้างกายก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ เลยทำไม่ไหวอีก เพราะถึงอย่างไร จะใช้วัวทำงานแบบไม่ตรงหน้าที่อย่างให้ไปพ่นยาฆ่าแมลงฆ่าวัชพืชให้เกลี้ยง มันก็เป็นไปไม่ได้แน่
สถานการณ์ของสวีอีคร่าว ๆ คือประมาณนี้ ต่อให้เขามีงานให้ออกไปทำ แต่ก็เป็นแค่งานที่ช่วยอำนวยความสะดวกเท่านั้น ไม่ใช่ตัวหลักในการแก้ไขปัญหา ทุกคนจึงจดจำแค่ผลของงาน แต่จะไม่จดจำการลงแรงเพียงส่วนเล็ก ๆ แค่นี้ของเขา
แต่เขาไร้ประโยชน์รึ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? หลายปีมานี้ต้องขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำที่อยู่เคียงข้างเจ้าห้ามาโดยตลอด ช่วยบรรเทาความโมโหโทโสให้ก็หลายครั้งหลายหน ถ้าไม่มีสวีอีเป็นตัวหล่อลื่นรับแรงต้านให้ จะมีขุนนางสักกี่คนกันที่สามารถรับแรงระเบิดระดับนั้นได้ เจ้าห้าคงจะโกรธจนความดันโลหิตสูงทะลุเพดานไปนานแล้ว
รอจนเจ้าห้ากลับมา หยวนชิงหลิงก็ไปคุยเรื่องนี้กับเขา
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าได้ยิน ก็โกรธจนเก็บอาการไม่อยู่ ตบโต๊ะดังปังพลางร้องด่าไปยกหนึ่ง ในใจของเขา สวีอีมีความสำคัญ ทั้งยังมีความสามารถมาก ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียแล้วล่ะ?
“เทศกาลโคมไฟปีที่แล้ว ระหว่างงานเทศกาลเกิดเรื่องเข้าใจผิดว่ามีคนลอบสังหาร เกิดเหตุโกลาหลอลหม่านจนผู้คนวุ่นวายไปหมด จนเลิกเทศกาลโคมไฟ พลตระเวนยังบากหน้ามาขอร้องสวีอี ให้สวีอีช่วยออกหน้าพูดให้ ข้าถึงได้ไม่สั่งโบยพวกเขา”
“สองปีก่อน ข้อสอบเอินเคอรั่วไหล มีคนตั้งเท่าไหร่ที่ไปขอร้องสวีอี ขอให้เขาเป็นหนังหน้าไฟมาถามความเห็นเรื่องราชโองการลงอาญา หวังให้ตัวเองแคล้วคลาดปลอดภัย เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี?”
“ทุกครั้งที่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ล้วนเป็นสวีอีที่ออกมาพูดความจริงจนหมดเปลือกอยู่ข้าง ๆ ช่วยไม่ให้พวกเขาโดนตำหนิลงโทษ?”
“เรื่องทำนองนี้ เกิดขึ้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พวกเขาลืมไปหมดแล้วอย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาจะต้องโกรธแน่ เขาสามารถรังแกสวีอีได้คนเดียว แต่ห้ามคนอื่นรังแกสวีอีเด็ดขาด
หยวนชิงหลิงก็เคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน พูดว่า “อันที่จริง ก็ต้องโทษสวีอีด้วยที่เป็นคนดีเกินไป คนอื่นขอให้เขาทำอะไร ไม่เอ่ยไม่ขอการตอบแทนสักอย่าง ก็ทำให้จนเสร็จสรรพเรียบร้อย พอเวลาผ่านไปนานเข้า คนพวกนี้ก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เขาควรทำอยู่แล้ว เลยกลายเป็นดูถูกเขา เจ้าลองดูทางมู่หรูกงกงนั่นสิ มู่หรูกงกงเป็นคนถือทิฐิเป็นที่ตั้ง ใครขอให้เขาช่วยอะไร เขาก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลือเลยสักครั้ง กลายเป็นว่าพวกเขากลับให้ความเคารพมู่หรูกงกง ขนาดขุนนางขั้นสองพออยู่ต่อหน้ามู่หรูกงกง ยังไม่กล้าพูดจาล่วงเกินเขาด้วยซ้ำ”
มู่หรูกงกงที่อยู่อีกด้านได้ยินคำชื่นชมของฮองเฮา ถึงกับเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจทันที อันที่จริงเขาพยายามเกลี้ยกล่อมใต้เท้าสวีแล้ว คนบางคนมีค่าพอให้ช่วยได้ แต่คนบางคนไม่คุ้มค่าที่จะช่วยหรอก ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อยนิด
ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากเครือข่ายข่าวกรองของเขา ขุนนางที่เยาะเย้ยใต้เท้าสวีซึ่งหน้าในครั้งนี้มีชื่อว่าเจินจื่อเฟิง เป็นเจ้าหน้าที่กรมอาญา เริ่มจากตำแหน่งขั้นห้า รับผิดชอบงานตุลาการและการลงทัณฑ์ เข้ารับตำแหน่งในปีที่สองของการเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ของฮ่องเต้ ชอบพูดจาออกแนวเย่อหยิ่งใส่คนอื่น ทั้งชอบพูดจาให้คนตกอกตกใจ ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีความสามารถ แต่ตำแหน่งกลับไม่ขึ้นไม่ลงค้างเติ่งอยู่ในที่เดิม เรียกว่าเสียเพราะปากโดยแท้
คนอื่นเวลาจะนินทาใต้เท้าสวี ต่างก็แอบพูดลับหลังกันหมด แต่เขาไม่เอาอย่างคนอื่น รู้สึกว่าเป็นคนจริงมันต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา มีอะไรก็ควรวิจารณ์กันซึ่ง ๆ หน้า แต่คำแนะนำที่เปิดเผย ก็อาจมีบ้างที่ฟังไม่เข้าหู
ก่อนหน้านี้เขายังเคยขอร้องใต้เท้าสวีให้ช่วยธุระอยู่แท้ ๆ ลูกชายของพี่สาวภรรยาเขาอยากจะเข้าเรียนที่วิทยาลัยจื้อหยุน เขารู้ว่าสวีอีกับผู้ใหญ่วิทยาลัยรู้จักกัน จึงไปขอร้องให้เขาช่วยเรื่องนี้ หลังจบเรื่อง เขาก็แค่เชิญใต้เท้าสวีไปดื่มเหล้าเท่านั้น
นอกจากนี้ หลายครั้งที่เขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับขุนนางคนอื่น เรื่องราวลุกลามใหญ่โตจนไปถึงหน้าพระพักตร์ สวีอีก็เคยช่วยพูดแทนเขา ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะถูกฝ่าบาทตำหนิไปกี่ครั้งแล้ว
ช่างเป็นหมาป่าตาขาวจอมเนรคุณเสียจริง คนพรรค์นี้ไม่ควรช่วยเขาแต่แรกแล้ว
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ทั้งรู้แล้วว่าใครที่ปะทะฝีปากกับสวีอี ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “เป็นเขาเองรึ? เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว เขาต้องมารับผิดใต้เงื้อมมือข้าพอดี คราวนี้จะได้รวดให้บทเรียนคนอื่นไปด้วยพร้อมกันเลย ให้มันรู้เสียบ้างว่าจากนี้พวกเขายังจะกล้าไม่เห็นหัวสวีอี ดูถูกดูแคลนสวีอีอีกหรือไม่?”
สมควรจะให้พวกเขารู้ได้แล้ว ว่าพอไม่มีสวีอี ฮ่องเต้ของพวกเขาน่ากลัวขนาดไหน
“ทำไมเจินจื่อเฟิงถึงต้องมารับผิดใต้เงื้อมมือเจ้าล่ะ?” หยวนชิงหลิงด้วยความสงสัย
“มีคนร้องเรียนว่า น้องชายแม่เดียวกันของเขาก่อเรื่องวิวาทควบม้าออกไปทำคนบาดเจ็บ แล้วเขาก็ให้ท้ายด้วยการปกปิดเรื่องไว้”
“ปิดเรื่องให้จริง ๆ น่ะหรือ?”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “ยังอยู่ในระหว่างสอบสวน แต่คาดว่าด้วยนิสัยของเขา คงจะไม่ช่วยปิดบังให้จริง ๆ หรอก แต่ไม่แน่ว่าอาจมีคำพูดแสดงความห่วงใย แบบนั้นก็พอเป็นไปได้”
หยู่เหวินเห้าเข้าใจอุปนิสัยของพวกขุนนางดี โดยเฉพาะเจินจื่อเฟิงผู้นี้ที่จะเข้าใจดีเป็นพิเศษ เพราะเขามักจะพูดจาสามหาว จนทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองใจ ทุกปีฎีกาที่ร้องเรียนเรื่องของเขามีส่งเข้ามาไม่ใช่น้อย สวีอีก็ยังอุตส่าห์ช่วยพูดแทนเขาให้
“มู่หรู หลังประชุมราชการเช้าวันพรุ่งนี้เสร็จ ให้เชิญใต้เท้าเจินของพวกเราไปที่ห้องทรงพระอักษร ข้าจะจัดการเขาตามลำพังเอง”
มู่หรูกงกงประสานมือคารวะ เอ่ยตอบเสียงดังฟังชัด “พ่ะย่ะค่ะ!”
ในใจหยู่เหวินเห้ารู้สึกโกรธมาก ทั้งโทษตัวเองที่หลายปีมานี้รั้งสวีอีไว้ให้ทำงานข้างกาย ควรส่งเขาออกไปทำงานให้น้อยลง เดิมทีเขาก็คิดไว้แล้วว่า คนที่พร้อมจะออกไปทำงานข้างนอกมีอยู่มากมาย สวีอีทำงานอย่างเหนื่อยยากมานานหลายปีมากแล้ว ให้เขามาอยู่ข้าง ๆ ส่งไปทำงานให้น้อยลง เพื่อให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับภรรยาและลูก ๆ ให้มากกว่านี้