บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1917 ต่างพากันไปขอโทษสวีอี
อีกหลายวันต่อมา ฝ่าบาทก็ยังอยู่ในอารมณ์โมโหโกรธาไม่หยุด
สวีอีทะเลาะกับเขาแล้วเกิดงอนขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้เขาเก็บเรื่องที่มู่หรูกงกงอยากขอยืมเงินมาใส่ใจมาก แน่นอนว่าตัวเขาไม่สามารถเอาเงินออกมาได้มากมายนัก เพราะในเมื่อเงินของตัวเองมีไม่มาก แล้วก็จะไปเอาเงินสินเดิมของอะซี่มาใช้ไม่ได้ด้วย รวมถึงถังกั่วเอ๋อกำลังจะคุยเรื่องแต่งงานแล้ว เงินพวกนั้นต้องเก็บไว้ใช้เป็นสินเดิมในขบวนเจ้าสาวของนาง จึงคิดว่าจะไปขอยืมจากฝ่าบาทมาสักจำนวนหนึ่ง แต่ฝ่าบาทกลับปฏิเสธทันทีแบบไม่ฟังเหตุผล
สวีอีเสียใจมาก เพราะฝ่าบาทไม่แม้แต่จะถามเขาด้วยซ้ำ ว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไร? ถ้าเกิดว่ามีเรื่องเดือดร้อนต้องใช้ขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ? ฝ่าบาทก็จะไม่สนใจเขาแบบนี้เหมือนกันหรือ?
ดังนั้น หลายวันมานี้ ในใจเขาจึงรู้สึกอึดอัดมาก บวกกับทะเลาะกันอยู่ เลยไม่ค่อยสนใจฝ่าบาท
บรรดาขุนนางบู๊บุ๋นพลันรู้สึกว่า ทำไมแค่เพราะใต้เท้าสวีไม่สนใจฝ่าบาท อารมณ์ของพระองค์ก็เกรี้ยวกราดถึงขนาดนี้เลย?
ทำไมใต้เท้าสวีถึงได้มีความสำคัญขนาดนี้ ? แม้จะบอกว่าเขาติดตามพระองค์มานาน แต่ก็ไม่ได้รับมอบหมายจากฝ่าบาทให้ไปทำงานสำคัญอะไร จะเห็นได้ว่าฝ่าบาทแค่เรียกใช้งานง่าย เลี้ยงหมาไว้เฝ้าประตูสักตัว ถ้าหมามันเชื่องหน่อย เจ้าของก็จะชอบมันมากขึ้นอีกนิด
แต่ปฏิกิริยาของฝ่าบาทในตอนนี้ กลับไม่ได้เป็นไปตามนั้นน่ะสิ
มีขุนนางบางคนไปตามหาเจินจื่อเฟิงจนพบ เจินจื่อเฟิงคุกเข่าติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ทนทุกข์ทรมานจนแทบพูดอะไรไม่ออก แต่เมื่อเผชิญกับคำถามที่พวกใต้เท้าถามเขาว่า สรุปแล้วเขาทำอะไรผิดกันแน่? เขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าไปทำอะไรที่ยั่วโมโหฝ่าบาทเข้าแล้ว
แต่เจินจื่อเฟิงหวนคิดอีกรอบ ฝ่าบาทโกรธเพราะใต้เท้าสวี เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาทะเลาะกับใต้เท้าสวีเมื่อหลายวันก่อน?
เขาหวนนึกถึงเรื่องที่ตัวเองไปพูดแหกหน้าใต้เท้าสวี ในใจก็อดตื่นตระหนกไม่ได้ จึงรีบบอกทุกคนถึงการคาดเดาของเขา
หลังจากขุนนางทั้งหลายได้ยินแล้ว ก็พากันวิตกกังวลใจคอไม่สู้ดี เพราะในบรรดาขุนนางทั้งหมดที่นี่ ใครบ้างล่ะที่ไม่เคยนินทาว่าร้ายใต้เท้าสวีลับหลัง?
ประชุมด่วน รีบประชุมด่วนเลย จัดการประชุมกลุ่มย่อยด่วนที่สุด
เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงมากว่าสิบปีแล้วแท้ ๆ ถ้าลองคิดดูให้ดี ก็มองเรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งอยู่
ตำแหน่งของใต้เท้าสวีในพระทัยของฝ่าบาทมีความสำคัญหรือไม่? แน่นอนว่าต้องสำคัญ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชย์ ใต้เท้าสวีก็ติดตามอยู่ข้างกายแล้ว จากทหารข้างกายที่ภักดีกลายมาเป็นขุนนางเบื้องพระพักตร์ เอาชีวิตไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อฝ่าบาทมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว? เรื่องพวกนี้ อาจถูกคนอื่นค่อย ๆ ลืมเลือนไปตามกาลเวลาได้ แต่ในพระทัยของฝ่าบาท ไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน ฝ่าบาทเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อความรักความผูกพัน ทั้งยังให้ค่าต่อคุณธรรมน้ำมิตรตั้งขนาดไหน?
เรื่องพวกนี้ การที่ขุนนางใหม่จะไม่รู้ก็ไม่แปลก จึงคิดกันไปว่าใต้เท้าสวีไม่ได้รับความสำคัญให้ไปทำงานใหญ่ ด้อยมากเสียจนกระทั่งเทียบกับมู่หรูกงกงก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
อันที่จริงเขาไม่ใช่ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงกินเงินเดือนมาก ทั้งไม่ใช่คนที่รับภาระหนักหนากว่าใคร แต่ก็สามารถทำงานอยู่เคียงข้างฝ่าบาทได้ กระทั่งสมาชิกในครอบครัวของเขาต่างก็อาศัยอยู่ในวังเพื่อคอยรับใช้ฮองเฮา แต่เท่านี้ก็รู้สถานะของใต้เท้าสวีในพระทัยของฝ่าบาทแล้ว
หลายปีมานี้ ราชสำนักมีพวกสายเลือดใหม่เข้ามามากมาย ต่อให้พวกเขาคิดกันจนหัวแตก ก็ไม่มีทางคิดไปถึงจุดนี้แน่ เพราะแม้แต่พวกขุนนางเก่า ๆ ก็ยังเกือบจะลืมไปหมดแล้ว
หลังจบการประชุมกลุ่มย่อย แม้ว่าพวกเขาจะรู้เหตุผลแต่กลับไม่รู้วิธีแก้ไข พอดีกับที่ในเวลานี้เอง โสวฝู่เหลิ่งซึ่งจะจัดงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดท่านแม่ที่บ้าน มาเชิญพวกขุนนางไปงานเลี้ยง
ทุกคนต่างก็เตรียมของขวัญอย่างใจกว้าง วางแผนว่าจะขอคำแนะนำจากโสวฝู่เหลิ่ง เพราะจะปล่อยให้ฝ่าบาทอารมณ์เสียเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แน่
โสวฝู่เหลิ่งเป็นคนที่มีอุปนิสัยล้ำลึกยากจะคาดเดา เขาแค่นั่งดูทุกคนวิตกกังวล ปรึกษาหารือกันให้อื้ออึง จนดื่มชาหมดไปหลายถ้วยแล้ว ถึงค่อยเอ่ยปากพูดประโยคหนึ่งช้า ๆ ว่า “ทางตันแล้วล่ะ ขอแค่ใต้เท้าสวีไม่สนใจฝ่าบาทหนึ่งวัน อารมณ์ของฝ่าบาทก็ไม่มีทางดีขึ้นได้หรอก”
มีขุนนางเก่าคนหนึ่งพูดอย่างร้อนรนใจว่า “อั้ยหยา นี่ใต้เท้าสวีทำอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงได้โกรธเคืองฝ่าบาทได้นะ? นี่มันใช่คุณธรรมของคนเป็นขุนนางเสียที่ไหนกัน?
หงเย่พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ถ้าทุกคนคิดว่าฝ่าบาทมองใต้เท้าสวีในฐานะขุนนางล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องหาทางแก้ปัญหานี้กันแล้วล่ะ”
ต่างคนต่างมองหน้ากัน ไม่ใช่ขุนนาง แล้วจะเป็นอะไรล่ะ?
โสวฝู่เหลิ่งพูดเตือนไปประโยคหนึ่งว่า “มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้น ถึงจะอยู่ด้วยกัน”
หลังจากได้ฟังประโยคนี้ แล้วหวนนึกถึงท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อใต้เท้าสวี จากนั้นก็นึกถึงท่าทีของพวกเขาที่มีต่อใต้เท้าสวีเมื่อสมัยก่อน ในใจพลันอดรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาไม่ได้
“ในส่วนที่ว่าใต้เท้าสวีมีดีอะไร หรือว่ามีความสามารถอะไรบ้าง พวกเจ้าก็ลองไปคิดกันเอาเอง” โสวฝู่เหลิ่งพูดต่ออีกประโยค วันนี้เขาพูดเยอะไปหน่อยแล้ว หยุดเถอะ! หยุดเถอะ!
วันถัดมา มีขุนนางหลายคนไปหาสวีอี แต่ครั้งนี้ ท่าทีของพวกเขาแตกต่างไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง แสดงท่าทางเคารพนอบน้อม ทั้งสุภาพมีมารยาท จุดประสงค์เดียวที่มาหาสวีอีในวันนี้ นั่นก็คือให้เขารีบคืนดีกับฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด
เรื่องนี้ทำให้สวีอีสับสนมึนงงไปหมด คืนดีกันรึ? แม้ว่าเขาจะทะเลาะกับฝ่าบาทไปสองสามคำก็จริง แต่พอผ่านไปก็ไม่มีอะไรแล้ว ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ?
เจินจื่อเฟิงก็มาหาสวีอีเหมือนกัน มารับผิดกับสวีอีแบบซึ่ง ๆ หน้า พูดว่าตัวเองทั้งสามหาวโอหัง คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ไม่รู้จักเคารพคนอื่น ทั้งยังขุดข้อผิดพลาดในอดีตของตัวเองออกมาเล่า เป็นการแสดงถึงความรู้สึกสำนึกผิด พูดไปพลางก็เจือเสียงสะอื้นไห้ไปด้วย
ฮือ ๆ ๆ เขาไม่อยากไปคุกเข่าอีกแล้ว ความทุกข์ทรมานทางกายยังนับว่าเป็นเรื่องรอง แต่ความทรมานทางใจนั่นต่างหาก ที่ทำให้เขาแทบจะสติแตกให้ได้แล้ว
นอกจากเจินจื่อเฟิงแล้ว ก็ยังมีพวกที่เมื่อก่อนเคยล่วงเกินสวีอีด้วย ต่างก็ทยอยมาก้มหัวขอโทษพร้อมรับผิดต่อหน้าเขา ทำสวีอีสับสนงงงวยจนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยทีเดียว