บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1918 ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้า
หลังจากที่สวีอีสับสนงงงันกับสถานการณ์อันยากแก่การเข้าใจไปยกหนึ่ง ก็ไปหามู่หรูกงกง เขาควักเงินออกมาได้แค่หมื่นตำลึงเท่านั้น
มู่หรูกงกงพูดด้วยท่าทีรังเกียจว่า “แค่หมื่นตำลึง? จะเอามาใช้ขับไล่ไสส่งขอทานรึ?”
สวีอีถึงกับตะลึง ทำไมมู่หรูกงกงถึงพูดแบบนี้ล่ะ? หมื่นตำลึงก็เยอะมากแล้วนะ อีกทั้งเขาเองก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วเหมือนกัน
แต่เพราะคบหาสนิทสนมกับมู่หรูกงกงมาหลายปี เขาก็มองอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสที่ตัวเองเคารพนับถือ จึงไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองใจ ทำได้แค่พูดว่า “ข้ามีมากที่สุดแค่นี้นี่ล่ะ ไว้วันหลังข้าจะคิดหาทางเอามาให้ท่านอีกก็แล้วกัน”
มู่หรูกงกงคว้าตั๋วเงินหมื่นตำลึงแล้วเดินจากไปทันที ไม่มีแม้แต่สีหน้าดี ๆ ให้เขาด้วยซ้ำ
พอถึงช่วงพลบค่ำ มู่หรูกงกงได้เจอสวีอี ก็พูดว่า “เงินหมื่นตำลึงนั่น วันนี้ข้าเอาไปวางเดิมพันแล้วแพ้หมดไม่เหลือเลย ไม่อาจคืนให้เจ้าได้เป็นการชั่วคราว รอผ่านไปสักสองสามปีให้ข้าสะสมเงินได้มากพอ ค่อยคืนให้เจ้าแล้วกัน”
สวีอีได้ยินแบบนั้น ถึงกับกระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง “อะไรนะ? แพ้หมด? ไม่ใช่ว่าจะซื้อบ้านรึ? ท่านเอาไปเล่นพนันได้อย่างไร?”
มู่หรูกงกงเหล่มองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าจะไม่คืนให้เจ้าเสียหน่อย เจ้าจะโกรธทำไม?”
สวีอีโกรธจนหน้าแดงก่ำ ตะเบ็งเสียงดังลั่น “เงินพวกนั้นขนาดข้าจะเอาออกมาใช้เอง ก็ยังแทบตัดใจใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ อุตส่าห์คิดว่าจะเอามาให้ท่านซื้อบ้าน ท่านถึงกับเอาไปเล่นพนันจนหมด นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“ไม่ใช่ว่าข้าบังคับยืมจากเจ้าเสียหน่อย เป็นเจ้าเต็มอกเต็มใจให้ยืมเองแท้ ๆ” มู่หรูกงกงพูดจบ ก็ชักเท้าเดินจากไปอย่างเย่อหยิ่ง
สวีอีคิดไม่ถึงว่ามู่หรูกงกงจะเป็นคนแบบนี้ไปได้ ด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว เขาย่ำเท้าตึงตังเข้าไปหาฮ่องเต้และฮองเฮาเพื่อขอคำปรึกษา
หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าอันขุ่นเคืองของสวีอี หยู่เหวินเห้าก็ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่ามู่หรูกงกงจำเป็นต้องซื้อบ้านจริง ๆ น่ะรึ?”
“ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะ เขาเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจะขอแก่ตายในวัง จะซื้อบ้านไปทำไมกัน? ตอนที่เขามาขอยืมเงินจากกระหม่อม กระหม่อมก็รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องซื้อมันเลย”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมเจ้าไม่ลองพูดกล่อมดูล่ะ?”
“กระหม่อมคิดว่าเขามีความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่ ในเมื่อเขาอยากซื้อ ก็ตามใจเขาแล้วกัน ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะเอามันไปเล่นพนันจนหมดไม่มีเหลือ”
“เขาบอกว่าอยากจะซื้อบ้าน แล้วมายืมเงินเจ้าก้อนใหญ่ขนาดนี้ เจ้าก็ไม่รู้จักไปตรวจสอบสักหน่อยเลยหรือ?”
“ตรวจสอบ?” สวีอีชะงักไปชั่วขณะ “ถ้ากระหม่อมไปตรวจสอบ นั่นจะไม่แปลว่ากระหม่อมไม่เชื่อใจเขาหรอกรึ?”
หยู่เหวินเห้าถามต่ออีกประโยค “ถ้าอย่างนั้นเจ้าให้คำอธิบายกับตัวเองได้หรือไม่ล่ะ? เงินจำนวนมากขนาดนั้นเจ้าไม่ตรวจสอบอะไรเลย ก็ให้เขายืมไปง่าย ๆ แล้ว”
“ข้าเคยคิดเสียที่ไหนล่ะว่าเขาจะเอาไปเล่นพนัน” สวีอีตีอกชกหัวพลางกระทืบเท้าเร่า ๆ นี่มันน่าโมโหแทบตายเลยจริง ๆ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเอาไปเล่นพนัน?”
“เขาพูดเองพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่เขาบอกว่าเขาแพ้หมดไม่มีเหลือ”
หยวนชิงหลิงที่ฟังอยู่ข้าง ๆ ถึงกับหัวเราะขึ้นมา “สวีอีเอ๊ย เขาพูดอะไรเจ้าก็เชื่อทันทีเลยรึ?”
ทำไมเจ้าก็ไม่ลองไปตรวจสอบดูสักหน่อยล่ะ? เจ้าเพิ่งให้เขายืมเงินไปได้แค่วันเดียวเองนะ เขาจะไปเล่นพนันจนหมดที่ไหนได้? ”
สวีอีตบหัวตัวเองดังเพี๊ยะ “จริงด้วย! การพนันเป็นสิ่งต้องห้ามในวังโดยเด็ดขาด เขาไปเล่นพนันที่ไหนกัน? เป็นฮองเฮาที่หลักแหลมแล้ว กระหม่อมจะรีบไปถามเขาเดี๋ยวนี้เลย”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” หยู่เหวินเห้าตะโกนสั่งเขา “นั่งลง ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“กระหม่อมขอไปถามดูก่อน เรื่องเงินมันค่อนข้างจะเร่งด่วนกว่าพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีพูดพลางทำท่าจะวิ่งออกไปด้านนอก
หยู่เหวินเห้าตบโต๊ะผาง พูดอย่างโกรธเคืองว่า “นั่งลง!”
สวีอีหันหน้ากลับไป เห็นว่าฝ่าบาทโกรธมาก จึงทำได้แค่เดินกลับไปนั่งลง ปากก็บ่นพึมพำว่า “มีเรื่องอะไรถึงต้องพูดตอนนี้ให้ได้ล่ะนี่?”
หยู่เหวินเห้ามองดูใบหน้าของชายที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่เกินครึ่งไปแล้วดวงนั้น ทอดถอนใจดังเฮือก “สวีอีเอ๊ย ข้าสงสัยจริง ๆ นะว่าสมองของเจ้ามันบวมน้ำไปหมดแล้วหรืออย่างไร? ทำไมตอนนี้เจ้าทำอะไรถึงไม่รู้จักใช้สมองเลยสักนิดล่ะ?”
สวีอีพูดอย่างซึมเศร้าว่า “กระหม่อมกับมู่หรูกงกงคบหาเป็นเพื่อนกันมานานกว่าสิบปี ใครจะไปรู้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องของมู่หรูคนเดียว เรื่องที่คนข้างนอกพูดถึงเจ้าว่าอย่างไร ตัวเจ้าเองก็รู้มานานแล้วใช่หรือไม่?”
สวีอีขมวดคิ้ว ทำหน้าม่อยคอตก “รู้พ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ทำไมยังทำตัวเหมือนที่คนอื่นพูดอีก? เจ้าไม่มีวรยุทธ์แล้วรึ? หรือว่ามือไม้พิการไปแล้ว?”
สวีอีแสร้งทำเป็นไม่ยี่หระ ตอบว่า “พวกเขาต่างก็เป็นขุนนางที่ทำงานให้กับฝ่าบาท กระหม่อมไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับพวกเขา ถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมา จนถึงขั้นลงไม้ลงมือจริง ๆ หากท่านช่วยกระหม่อม นั่นก็จะกลายเป็นว่าท่านลำเอียงเห็นแก่คนของตัวเอง แต่หากท่านไม่ช่วย กระหม่อมก็จะต้องรู้สึกทุกข์ทรมานใจ ดังนั้นแค่อดทนต่อไปก็พอ เพียงเท่านี้ก็ช่วยฝ่าบาทให้พ้นจากเรื่องลำบากใจได้แล้ว ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เจ้าไม่อยากให้ข้าลำบากใจ ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าต้องเจอเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกัน นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้เพิ่งขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ นะ ตอนนี้ต่อให้จะออกหน้าช่วยเจ้า ใครที่ไหนมันจะกล้าว่าให้ล่ะ?”
“กระหม่อมแค่คิดว่านี่มันไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “อันที่จริง ก็ไม่แปลกหรอกที่คนอื่นจะดูถูก ไม่ใช่ว่ากระหม่อมไม่เคยเป็นขุนนาง ตอนนี้ก็อยู่แค่ในตำแหน่งชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ออกหน้ามาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กระทั่งแค่ประเมินผลงานก็ยังไม่ผ่านด้วยซ้ำ”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกทั้งสงสารทั้งเห็นใจเจ้าโง่คนนี้จริง ๆ “นั่นเป็นเพราะข้าไม่ได้จัดสรรตำแหน่งงานที่เหมาะสมให้เจ้าต่างหาก หวังแค่ว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายลงบ้าง ได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ใช้เวลาอยู่กับข้ามากขึ้น เจ้ายังเหน็ดเหนื่อยไม่พออีกหรือ? ดูทั้งเนื้อทั้งตัวเจ้าสิ จากหน้าอกยาวไปจนถึงแผ่นหลังมีแต่รอยแผลเป็น ข้าคิดขึ้นมาทีไร ก็อดรู้สึกผิดต่อเจ้าไม่ได้ ข้ายังจำได้ไม่ลืมว่าตอนอยู่ในสนามรบเจ้ากล้าหาญขนาดไหน”
สวีอีเผยรอยยิ้มซื่อบื้อ “ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมยอมอยู่แบบธรรมดาสามัญอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ คงจะไม่ไปแสดงความกล้าหาญใด ๆ ให้มากมายอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ “