บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1919 ในท้องพระโรง
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง สวีอีก็ถามว่า “นั่นแปลว่ามู่หรูกงกงแค่อยากลองใจกระหม่อมเฉย ๆ? ถ้าอย่างนั้นเงินหมื่นตำลึงก็ยังอยู่ดีน่ะสิ”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยท่าทางไร้อารมณ์ “ไม่ เรื่องยืมเงินนั่นเป็นความจริง แม้ว่าเงินจะไม่ได้ถูกใช้ไปกับการพนัน แต่กลับถูกนำไปใช้ในการประกอบอาชีพอื่น ถ้าได้กำไรมากพอก็จะคืนเจ้า แต่ถ้าขาดทุนก็ต้องแล้วกันไป”
สวีอีทุบหน้าอกผาง ๆ ร้องโหยหวนว่า “กงกงทำร้ายข้าให้ล้มละลายชัด ๆ”
“เจ้าจงจำบทเรียนนี้ไว้ให้ดีเถอะ ถ้าวันหลังมีใครมาไหว้วานให้เจ้าทำเรื่องอะไร เจ้าก็ย้อนนึกถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียเงินหนึ่งหมื่นตำลึงครั้งนี้ให้มาก รักษาท่าทีของตัวเองให้ดูสูงส่งเข้าไว้ ใครเรียกเจ้าเข้าหน่อย เจ้าก็รีบกระดิกหางคาบกระดูกไปส่งให้คนอื่นถึงตรงหน้า เจ้าเป็นหมารึ?”
สวีอีร้อง “เอ๋” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง “รู้ว่าตัวเองยุ่ง ๆ ไม่ใช่ว่าติดต่อกันไว้เผื่อเป็นเส้นสายได้หรอกรึ?”
หยู่เหวินเห้าใช้ดวงตาที่คมกริบดั่งมังกรจ้องเขาเขม็ง “เจ้ายังจะอยากได้เส้นสายอะไรอีกล่ะ? แค่ข้าที่เป็นฮ่องเต้ของเจ้าผู้นี้ ยังไม่กว้างขวางพอให้เจ้าอวดโอ้อีกรึ?”
สวีอียิ้มอย่างฝืดฝืน พอน่ะพออยู่ แต่ถึงฮ่องเต้จะยิ่งใหญ่ ก็เอาแต่ยกนามฮ่องเต้ขึ้นมาอ้างตลอดไม่ได้หรอกกระมัง….. แต่เมื่อฝ่าบาทเอ่ยเช่นนี้ ในใจเขาก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา ถึงกับลืมความเจ็บปวดของการสูญเสียเงินหมื่นตำลึงนั่นไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
ประชุมเช้าวันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าออกคำสั่งเป็นการเฉพาะ ว่าเขาจะต้องเข้าท้องพระโรงด้วย
หลังจากที่บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊เข้าไปในท้องพระโรง หยู่เหวินเห้าก็ไม่รีบร้อนคุยเรื่องงานราชการ แค่นั่งบนเก้าอี้มังกรนิ่ง ๆ มองดูผู้คนที่อยู่ด้านล่าง แล้วพูดขึ้นว่า “ก่อนจะคุยงานราชการ ข้าอยากคุยเรื่องเก่า ๆ กับเรื่องซุบซิบนินทาไร้สาระกับพวกเจ้าสักหน่อย ไม่ทราบว่าทุกท่านสนใจจะฟังเรื่องเก่า ๆ ของข้าหรือไม่?”
หลายวันมานี้ฝ่าบาททรงโมโหโกรธามาโดยตลอด หาได้ยากมากที่จะพูดจาด้วยท่าทางใจเย็นเช่นนี้ พวกขุนนางจะกล้าไม่สนใจได้อย่างไรกัน? ทุกคนต่างแสดงท่าทีเต็มใจฟังเรื่องเก่า ๆ ของฝ่าบาทกันอย่างพร้อมเพรียง
“เมื่อคืนข้าฝันร้าย ฝันว่าย้อนกลับไปทำศึกอยู่ในสนามรบ ประกายดาบเงากระบี่ปะทะเสียดสีกันวูบไหว เลือดแดงฉานไหลนองเต็มพื้น ซากศพกองรวมกันเป็นภูเขา มีใครเคยได้เห็นภาพฉากเช่นนี้บ้างหรือไม่?”
คำถามที่บีบหัวใจเช่นนี้ ในท้องพระโรงมีเพียงบรรดาแม่ทัพนายทหารเท่านั้นที่สามารถตอบได้ พวกขุนนางบุ๋นที่ปกติพูดจาฉะฉาน ย่อมไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนึกไม่ออกด้วยว่าภาพเหล่านั้นมันจะโหดร้ายทารุณจิตใจมากขนาดไหน
“ข้าอยู่ในสนามรบ ได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง ไปถึงจุดวิกฤติระหว่างความเป็นความตายก็หลายหน ตอนนั้นข้ายังมียศเป็นอ๋องฉู่ ทุกครั้งที่ออกรบ ใต้เท้าสวีจะเป็นแนวหน้าให้เสมอ เป็นคนที่พร้อมสละตัวเองโดยไม่ลังเล ทั้งยังช่วยให้ข้าพ้นจากอันตรายได้หลายครั้ง ตอนที่อยู่ในจวนก่อนจะขึ้นครองราชย์ ก็มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารไม่หยุด ใต้เท้าสวีก็ใช้ตัวปกป้องข้าจากคมดาบฝนธนู ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น กับบาดแผลเก่าที่ยังไม่หายดี ใต้เท้าสวีเป็นขุนนางของข้า ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณของข้าด้วย”
“หลังข้าขึ้นครองราชย์ ก็ไม่ได้มอบหมายงานสำคัญอะไรให้ใต้เท้าสวี เรื่องนี้คงทำให้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าใต้เท้าสวีเป็นพวกไร้ประโยชน์ ผิดแล้ว! ผิดอย่างมากด้วย!” จู่ ๆ เสียงของหยู่เหวินเห้าก็สูงขึ้นมาทันที ดวงตาเย็นชาสีหน้าดุดัน “ด้วยเกียรติและความดีความชอบของเขา ต่อให้ข้าจะแต่งตั้งฐานันดรให้เขา เขาก็สมควรได้รับมันอย่างไร้ข้อกังขา เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้า คิดอยากจะให้เขามาอยู่ข้างกาย ถึงได้ให้เขาไปทำแต่งานง่าย ๆ แต่พวกเจ้าทั้งหลายกลับคิดว่าเขาเป็นแค่ลูกพลับนิ่ม จับขึ้นมาบีบเล่นเท่าไหร่ก็ได้ จะขอให้เขาช่วยทำอะไรก็สั่งเหมือนสั่งคนใช้ก็ไม่ปาน ใช้งานเสร็จก็สะบัดหน้าหนีทำเป็นจำไม่ได้ นึกอยากด่าก็ด่า คนของข้าถึงตาให้พวกเจ้าเหยียบย่ำดูหมิ่นได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ด้วยโทสะที่เดือดดาลนี้ หลังจบประโยคสุดท้ายที่ตะเบ็งออกมา พวกขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็ตกใจจนรีบคุกเข่าลงน้อมรับความผิดกันหมด
เจินจื่อเฟิงแทบจะเป็นลมล้มลงไปให้ได้แล้ว หัวใจเต้นรัวกระหน่ำ เขา… พูดจาดูถูกด่าทอใต้เท้าสวีหลายครั้ง แถมทุกครั้งก็ด่าชนิดไม่ไว้หน้า ไม่เหลือไมตรีเลยด้วย
ในที่สุดก็ยืนยันได้แล้วว่า ที่ฝ่าบาทเรียกให้เขาเข้าไปคุกเข่าในห้องทรงพระอักษร ก็เพราะต้องการระบายความโกรธแทนใต้เท้าสวี
สวีอีฟังด้วยอาการตกตะลึง หันกลับไปแอบเช็ดน้ำตาที่หางตา ฝ่าบาทนี่ก็จริง ๆ เลย เรื่องแบบนี้ทำไมถึงเอามาพูดในการประชุมเช้าได้นะ? เขาไม่ใช่ขุนนางใหญ่คนสำคัญอะไรขนาดนั้นแท้ ๆ
“ใต้เท้าหม้าย!” หยู่เหวินเห้าร้องเรียกเสียงหนึ่ง ก็เห็นใต้เท้าหม้ายสามีของจวิ้นจู่ใหญ่อานคลานเข่าออกมา ใบหน้าแสดงความหวาดกลัว สีหน้าซีดเผือดไปทั้งหน้า ที่ฝ่าบาทเรียกเขาออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธกริ้วเช่นนี้ น่ากลัวว่าคนที่บ้านจะก่อเรื่องให้เขาอีกแล้วแน่ ๆ
“กระหม่อมอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ใต้เท้าหม้ายปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผาก แล้วค้อมตัวลง
แววตาของหยู่เหวินเห้าวาววับราวกับคมดาบ แต่เสียงที่พูดกลับอ่อนโยนมาก “ได้ยินมาว่า ตอนที่จวิ้นจู่บ้านเจ้าคุยกับฮูหยินใต้เท้าทั้งหลาย พูดว่าสวีอีของบ้านเราเป็นคางคกที่ริอาจกินเนื้อหงส์ มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่?”
คำพูดแบบพุ่งเป้าไปที่ปัญหาสำคัญห้าคำที่ว่า “สวีอีของบ้านเรา” พุ่งเข้ากระแทกหนัก ๆ ใส่กลางใจของใต้เท้าหม้ายกับขุนนางคนอื่นแบบตั้งรับกันแทบไม่ทัน
ในใจของใต้เท้าหม้ายเต็มไปด้วยความขมขื่นทุกข์ตรม ทำไมปากของผู้หญิงถึงได้รั่วไม่มีที่กั้นแบบนี้นะ? ถึงกับพูดแบบนี้ต่อหน้าคนในครอบครัวขุนนางคนอื่น นี่ไม่ใช่การตบหน้าฝ่าบาทหรอกหรือ? คนข้างกายฝ่าบาทจะเป็นคางคกไปได้อย่างไรล่ะ?
นอกจากใต้เท้าหม้าย ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่เคยด่าหรือแอบนินทาว่าร้ายเขาลับหลัง ต่างคนต่างรู้สึกวิตกกังวล นอกจากจะรู้สึกไม่สบายใจแล้ว ยังมีความรู้สึกละอายแก่ใจด้วย เมื่อครู่ฝ่าบาทเอ่ยถึงความดีความชอบบางส่วนของใต้เท้าสวี เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องอันตรายชวนอกสั่นขวัญระทึกที่พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้
ในอดีต ใต้เท้าสวีก็เป็นที่เคารพนับถือมากเช่นกัน ทุกคนต่างก็พูดกับเขาด้วยความเคารพนอบน้อม แต่เพราะเวลาต่อมา ด้วยความที่เขาเป็นคนพูดง่าย ขี้ใจอ่อน ทุกคนจึงเริ่มดูถูกเขาทีละเล็กละน้อย
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ กลับไปกระหม่อมจะสั่งสอนผู้หญิงช่างพูดคนนั้นให้ดีอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหม้ายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเย็นชาว่า “มีแค่ผู้หญิงหรือที่ปากมาก? ตอนนี้ไม่มีขุนนางปากมากในวังเลยอย่างนั้นหรือ?”
ชั่วพริบตานั้น เหล่าขุนนางต่างก็หวาดกลัวขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดออกมา แต่ในใจของพวกเขาก็ดูถูกใต้เท้าสวีจริง แต่เมื่อพวกเขาย้อนนึกถึงสิ่งที่ใต้เท้าสวีทำเพื่อเป่ยถัง พวกเขาสามารถเทียบได้อย่างนั้นรึ?
ในใจของสวีอีพลันปวดแปลบ ไม่ใช่เพราะเขาได้รับความไม่เป็นธรรม แต่เพราะจนถึงวันนี้ เขาก็ยังต้องให้ฝ่าบาทช่วยออกหน้าแทนให้ ช่างเป็นคนที่ไร้ประโยชน์จริงๆ