บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1920 เจ้าพระยาจงภักดี
หยู่เหวินเห้ายังโกรธไม่หาย คนพวกนี้ก็แค่ของอะไร ถึงกับกล้ามาดูถูกสวีอี ตอนที่สวีอีไปต่อสู้เพื่อประเทศชาติ พวกเขายังท่องกลอนร่ายโคลงเขียนบทกวีกันอยู่เลยด้วยซ้ำ
เขาลงโทษเจินจื่อเฟิงสถานหนัก ฐานดูหมิ่นวีรบุรุษที่สร้างคุณให้แก่ราชสำนักและประเทศชาติ ด้วยการสั่งให้ลากตัวออกไปรับโทษโบย แม้ว่าจะเป็นแค่การเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ก็เป็นการกระตุ้นให้ขุนนางนับร้อยรู้จักตื่นตัวเข้าไว้ ทุกวันนี้มีพวกแม่ทัพนายทหารและขุนนางบางคนที่เกียจคร้านไม่ใส่ใจหน้าที่ พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรดีสักอย่าง เมื่อก่อนพวกเขาเคยเป็นถึงเรี่ยวแรงสำคัญของชาติ ไม่อาจปล่อยให้ตำแหน่งในปัจจุบัน ส่งผลให้ปล่อยปละละเลยหน้าที่ของตัวเองได้
หลังจากที่เจินจื่อเฟิงถูกลงโทษ ก็มีการประกาศจากราชสำนัก เรื่องแต่งตั้งชั้นยศให้สวีอีขึ้นเป็นเจ้าพระยาจงภักดี ซึ่งเป็นฐานนันดรที่เขาสมควรได้รับ นอกจากนี้ยังมีการโยกย้ายสวีอีจากกรมขุนนาง แต่งตั้งไปเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมทหารอีกตำแหน่ง
ภารกิจด้านการทหารคือความเชี่ยวชาญของสวีอี ให้เขารับผิดชอบงานด้านนี้ เขาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมากแน่ เมื่อก่อนเป็นเพราะอยากเก็บเขาไว้ข้างตัว ไม่อยากให้เขาต้องลำบาก ไม่อยากให้เขาต้องฝืนปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของขุนนาง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการทำลายความทะเยอทะยานของเขา ทำให้เจ้าตัวคิดว่าตนเองไร้ประโยชน์ จนสุดท้ายก็ตกต่ำจนถึงขั้นถูกคนอื่นรังแกได้แบบนี้
สวีอีคุกเข่าขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ น้ำตาไหลพราก อันที่จริง ในใจเขาก็รู้ดีว่ามีคนมากมายที่ยอมสละเลือดเนื้อ สละชีวิตเพื่อเป่ยถัง แล้วเขามีดีอะไรขนาดนั้นหรือ?
โสวฝู่เหลิ่งตบ ๆ ไหล่เขาแล้วพูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ตำแหน่งเจ้าพระยาจงภักดีนี้ เป็นสิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตของตัวเองแลกมา เจ้าสมควรได้รับสมญานามนี้อย่างแท้จริง”
คำพูดของโสวฝู่เหลิ่งพูดได้โดนใจมาก พวกขุนนางหวนนึกถึงความโหดร้ายของการแย่งชิงบัลลังก์ในรัชกาลก่อน รวมถึงอันตรายและความโหดร้ายในระหว่างสงคราม หากไม่มีใต้เท้าสวี ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีฝ่าบาทในตอนนี้ก็ได้
ทุกคนต่างพากันเข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้าพระยาจงภักดี ครั้งนี้ล้วนมาจากใจจริงทั้งหมด เมื่อยกเรื่องราวเก่า ๆ ขึ้นมาวิเคราะห์ ล้วนมีแต่เหตุการณ์นองเลือดดั่งพายุที่โหมกระหน่ำจริง ๆ
รอจนทุกคนแสดงความยินดีเสร็จ หยู่เหวินเห้าก็ให้รางวัลแก่บรรดาแม่ทัพพลทหารทุกคนที่เคยร่วมรบกับเขาในสนามรบวันนั้น เงินเดือนของทหารก็เพิ่มให้โดยยึดตามอายุการเป็นทหารของแต่ละคน ถือเป็นรางวัลใหญ่สำหรับทหารกล้าแห่งเป่ยถัง
หลายปีมานี้ เรื่องเงินเดือนของทหารมีการถูกยกขึ้นมาพูดถึงสามครั้งแล้ว ในบรรดาประเทศที่รายล้อมอยู่มากมาย เงินเดือนทหารของเป่ยถังนับว่าสูงที่สุด แต่ตอนนี้ประเทศร่ำรวยแล้ว จึงสมควรนำมาใช้จ่ายให้กับพวกเขา
หยู่เหวินเห้ามอบรางวัลอันทรงเกียรติให้แก่ผู้มีผลงาน รอจนเสร็จจากงานราชการกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร ก็สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไป ขอเวลาให้ตัวเองได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ สักพัก
โสวฝู่เหลิ่งพากลุ่มขุนนางเข้ามา แต่ถูกมู่หรูกงกงหยุดไว้ที่ด้านนอก พวกขุนนางต่างรู้สึกประหลาดใจ โสวฝู่เหลิ่งแค่ยิ้ม ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
มีคนบางคน ที่นิสัยด้านตระหนี่ถี่เหนียวจะฝังแน่นสลักลึกถึงในกระดูก แม้ว่าเรื่องเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการทหารจะเป็นสิ่งที่มีการยกขึ้นมาคุยกันนานแล้ว และเขาก็เต็มใจที่จะให้ด้วย แต่ความเต็มใจไม่อาจขัดขวางความเจ็บปวดเพราะเสียดายเงินได้น่ะสิ
น่ากลัวว่าหัวใจของฝ่าบาทตอนนี้จะกำลังมีเลือดอาบอยู่แน่ ๆ จึงต้องการเวลาดูแลบาดแผลให้หายดีเสียก่อน
พูดได้ว่าโสวฝู่เหลิ่งเข้าใจหยู่เหวินเห้าเป็นอย่างดี ว่ากันตามจริงคือหยู่เหวินเห้าเต็มใจให้ ทั้งอยากให้มาตลอดด้วย แต่ก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่ดี
เหมือนกับคนที่กลัวความยากจนคนหนึ่ง วิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาความเครียดในแต่ละวันที่นอกเหนือจากอยู่กับเจ้าหยวน ก็คือคอยฟังรายงานว่าเงินในคลังมีมากน้อยเท่าไหร่ อาหารที่เก็บไว้ในยุ้งฉางมีมากน้อยขนาดไหน
หลังจากใช้เวลาปวดใจไปได้ราว ๆ หนึ่งถ้วยชาหายร้อน เขาก็เริ่มเรียกขุนนางเข้ามาคุยงาน
หลังจากคุยงานเสร็จ ก็เรียกเลขากรมโยธามาเข้าพบ สวีอีได้รับตำแหน่งเจ้าพระยา อย่างไรก็ต้องมอบจวนให้เขา ถึงแม้ว่าจะยากตัดใจ แต่สวีอีเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องแยกจากเขาไปใช้ชีวิตอยู่เองได้แล้ว
เขาเลือกจวนหลังหนึ่ง แล้วให้กรมโยธาซ่อมแซมบูรณะใหม่ ไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ต้องไม่ดูทรุดโทรม ต้องสะดวกสบายและน่าอยู่
สวีอีรู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ในความฝัน กลับไปบอกอะซี่เรื่องที่เขาได้รับตำแหน่งเจ้าพระยา ดูสภาพล่องลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์อย่างไรอย่างนั้น
ทันทีที่อะซี่ได้ยินก็ไม่เชื่อ “นี่เจ้าไปฟังมาจากใคร? มู่หรูกงกงรึ? น่ากลัวว่าเขาจะล้อเจ้าเล่นล่ะสิ? เจ้าอยู่ว่าง ๆ มาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงค่อยมาแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าพระยาให้? ถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรูกงกงอยากล้อเจ้าเล่น ก็คงเป็นเพราะเขาได้ยินมาผิดแน่ ๆ”
สวีอีนั่งลงในสภาพเนื้อตัวสั่นเทา “ได้ยินมาตามนั้นไม่ผิดหรอก เป็นฝ่าบาททรงประกาศด้วยองค์เองตอนประชุมราชกิจเช้า ทั้งยังมีขุนนางอีกหลายคนมาแสดงความยินดีกับข้าด้วย เรื่องฟังผิดไม่มีทางฟังผิดแน่ ๆ แต่อาจเป็นไปได้ว่าอาจกำลังฝันอยู่”
อะซี่คว้าไหล่ของเขาหมับ สีหน้าปีติยินดีอย่างยิ่ง “ประกาศในราชสำนักเลยรึ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นเรื่องเท็จแล้วล่ะ แล้วทำไมฝ่าบาทถึงแต่งตั้งยศเจ้าพระยาให้เจ้าล่ะ? สวีอี เจ้าสร้างความดีความชอบอะไรอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ได้มีความชอบอะไรเลย” จมูกของสวีอีพลันแสบร้อน “ไม่เพียงแต่ไม่ได้สร้างความดีความชอบนะ ยังทะเลาะกับขุนนางด้วย ฝ่าบาททรงออกหน้าให้ข้า ถึงได้พระราชทานตำแหน่งนี้ให้ข้า อะซี่ ฝ่าบาททำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คนในใต้หล้าเห็นต่าง พากันวิพากษ์วิจารณ์พระองค์นะ”
อะซี่ทรุดตัวลงนั่งพลางมองหน้าเขา แววตาเต็มไปด้วยความจริงจัง “สวีอี เจ้าฟังข้านะ เจ้าไม่ได้ไม่มีคุณธรรมจนไม่อาจรับตำแหน่งนี้ ในอดีตที่ผ่านมาเจ้าเคยสร้างความดีความชอบมากมาย แต่หลังจากสร้างมันแล้ว กลับเต็มใจใช้ชีวิตแบบสงบเรียบง่ายสุขุมรอบคอบและมีความระมัดระวัง นอกจากจะช่วยจัดการเรื่องกองทหารรักษาพระองค์ ยังไปทำหน้าที่เป็นองครักษ์ที่เบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทอีก แม้จะพูดได้ว่าเจ้าไม่มีตำแหน่งใหญ่โตอะไรมากมาย แต่สิ่งที่เจ้าทำมันเหนือไปกว่าหน้าที่ของขุนนางคนหนึ่งไปไกลมาก ๆ เลยเชียวนะ”
คำพูดยืนยันขันแข็งของภรรยา อย่างไรก็มีพลังวิเศษช่วยให้ผู้ชายกลับมามีความมั่นใจในตัวเองได้อย่างรวดเร็วเสมอ ในดวงตาของเขาไม่มีความลังเลให้เห็นแล้ว “อะซี่ ข้ามีดีขนาดนั้นเลยจริง ๆ รึ?”
“มีสิ เจ้าดีที่สุดเลยล่ะ” อะซี่ยื่นแขนออกไปกอดเขาไว้ “อย่างน้อยในหัวใจของข้ากับฝ่าบาท เจ้าก็เป็นคนที่ไม่มีใครมาแทนได้นะ”
สวีอีเป็นคนที่อ่อนไหวง่ายที่สุดแล้ว พอได้ยินภรรยาพูดแบบนี้ ชั่วขณะนั้นเขาพลันกอดนางแน่น ในสภาพที่น้ำตาเอ่อคลอเต็มสองเบ้าตา