บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1923 แอบเจอกันสักครั้ง
ช่วงนี้ถังกั่วเอ๋อกลับไปอยู่ที่ตระกูลหยวน ท่านย่าเห็นว่านางถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว ก็ควรพาออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง ให้ทุกคนได้เห็นถึงความโดดเด่นของสวีถังถัง
ถังกั่วเอ๋อรูปร่างงาม ใบหน้ามนกลม ผิวขาวผ่องนุ่นเนียน และยังเติบโตในวัง ตอนนี้ไม่อยู่ในวังหลัง แม่นมพวกนั้นว่างจัดอย่างมาก จึงสอนถังกั่วเอ๋อเกี่ยวกับกิริยามารยาท ความรู้ความสามารถในการดูแลปกครองครอบครัว
และเพราะสวีอีก็อาศัยอยู่ในวัง มีเวลาดูแลลูก ตอนที่ไม่ได้อยู่กับฮ่องเต้ เวลาที่เหลือล้วนกลับมาสอนฝีมือการต่อสู้ให้กับลูก บวกกับอะซี่ก็เห็นด้วยกับการให้ลูกฝึกฝีมือการต่อสู้ บางครั้งนางเองก็มาสอนด้วย ดังนั้นถังกั่วเอ๋อจึงมีฝีมือดีไม่น้อย
คนที่ออกมาจากตระกูลหยวน ไม่มีฝีมือการต่อสู้ไม่ได้
แต่ต่อให้ถังกั่วเอ๋อฝึกฝีมือการต่อสู้ กลับยังคงแลดูมีความเป็นคุณหนูกุลสตรี มารยาทถูกฝึกมาดี ฝีปากก็เป็นที่น่าหลงใหล ท่านย่าชอบอย่างมาก
ถังกั่วเอ๋อก็ชอบอาศัยอยู่ในตระกูลหยวน เพราะสามารถออกไปเดินเที่ยวได้ อยู่ภายในวังท่านแม่มักจะไม่ยอมให้นางออกไปไหน บอกว่าคนภายนอกชั่วร้าย ไปมาหาสู่ไม่ได้
หลายปีมานี้อะซี่ใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างสบาย ไม่ชอบออกมาเดินเที่ยว มักคิดว่าอยู่ในวังกับลูกกับสามีปลอดภัยที่สุด นางเองก็ชอบชีวิตแบบนี้ จึงจำกัดความตื่นเต้นของลูกสาวที่อยากเห็นโลกภายนอกอย่างไม่รู้ตัว
เจ๋อหลานอยู่ในเมืองหลวงพอดี รู้ว่าพี่ถังกั่วเอ๋อกำลังจะแต่งงาน และก็รู้ว่าท่านย่าพอใจใคร จึงแอบไปหาถังกั่วเอ๋อที่ตระกูลหยวน แล้วชวนนางไปดูคุณพวกนั้นด้วยกัน
ถังกั่วเอ๋อให้ความสำคัญกับคู่ชีวิตของตนเองมาก แต่นางมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง คนที่ตนจะแต่งงานด้วย อย่างน้อยก็ต้องน่ามอง เป็นที่พอใจ ถึงจะยอมแต่ง ไม่อย่างนั้นต่อให้มีความสามารถแค่ไหน นางก็ไม่แต่ง
เจ๋อหลานบอกว่าจะไปดู นางก็กำลังคิดเช่นนั้นเหมือนกัน อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ชอบหรือไม่ชอบก็เป็นเรื่องภายหลัง แต่ไปดูก่อนว่าดูดีไหม มีความสำคัญอย่างมาก
เจ๋อหลานรู้มาจากแม่ของตนว่า คนที่นางชอบที่สุดคือหม้ายชิงหวา กั่วเอ๋อเห็นฮองเฮาเป็นไอดอล คนที่ไอดอลชอบ นางจึงอยากไปดูหม้ายชิงหวาก่อน
เจ๋อหลานเล่าสถานการณ์ของตระกูลหม้ายในนางฟัง จวิ้นจู่ใหญ่อานเป็นคนวุ่นวาย หากแต่งงานไปอาจจะถูกรังแก
ถังกั่วเอ๋อหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ถูกรังแกได้ไม่นานหรอก นางอายุมากแล้ว ไม่รู้วันไหนก็จะป่วยตายแล้ว”
เจ๋อหลานอึ้ง น้อยครั้งมากที่พี่กั่วเอ๋อพูดจารุนแรงเช่นนี้
ถังกั่วเอ๋อพูดขึ้นด้วยสายตาเยือกเย็นว่า “เรื่องที่นางว่าร้ายพ่อของข้า ข้ารู้แล้ว นอกจากแม่กับฮ่องเต้ ไม่มีใครสามารถรังแกสวีอี”
เจ๋อหลานหัวเราะ เกือบลืมไปแล้วว่าพี่กั่วเอ๋อก็เป็นคนที่ออกมาจากตระกูลหยวน ตระกูลหยวนมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง ปกป้องเข้าข้างคนของตนเอง พี่สาวกำลังปกป้องพ่อของตนเอง
ถังกั่วเอ๋อสะบัดแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นถึงข้อมือที่ขาวผ่อง กำหมัดแน่น พร้อมพูดขึ้นว่า “หากหม้ายชิงหวาเหมาะสม ข้าก็ยอมแต่งงานด้วย ไม่เพื่ออย่างอื่น แต่ก็เพื่อแก้แค้นให้พ่อ”
“จะเอาชีวิตคู่ของตนเองมาเพื่อแก้แค้นแทนเสด็จอาสวีอีไม่ได้นะ” เจ๋อหลานรีบพูดโน้มน้าว
การแก้แค้นมีวิธีมากมาย จะเอาชีวิตคู่ทั้งชีวิตมาล้อเล่นได้อย่างไร?
ถังกั่วเอ๋อหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าล้อเล่นอยู่แล้ว น้องสาว วางใจเถอะ”
เจ๋อหลานจูงมือของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นก็ดี เราไปกันเถอะ เราเจอหม้ายชิงหวาคนนี้ดู”
จวนของหม้ายชิงหวาตั้งอยู่ฝั่งถนนสายตะวันออกของเมืองหลวง จวนที่นี่ไม่ถือว่าแพง แต่ราคาก็ไม่ถูก จวนนี้ใหญ่มาก ที่ดินประมาณยี่สิบเอเคอร์ ดูจากภายนอกสิ่งปลูกสร้างค่อนข้างสง่างาม
สองพี่น้องปืนกำแพงมองดูแวบหนึ่ง ข้างในไม่มีต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้าเลย กลับมีสนามฝึกฝีมือการต่อสู้อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ในสนามฝึกฝีมือการต่อสู้มีอาวุธวางเรียงรายมากมาย แต่ละอย่างล้วนดีที่สุด
ถังกั่วเอ๋อพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เขาเป็นคนถนัดวรรณกรรมไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังฝึกฝีมือการต่อสู้?”
ในขณะที่พูด ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากในระเบียง เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน มวยผมไว้ ใบหน้ารูปงาม ท่าทีสง่าผ่าเผยอ่อนโยน แลดูมีสกุลรุนชาติ
เขารูปร่างสูง ดูเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วไม่เหมือนเป็นทหาร บวกกับฝีเท้าสง่าผ่าเผยและอ่อนโยน ดูไม่ออกว่าเป็นคนมีฝีมือการต่อสู้
“เขาคือหม้ายชิงหวาหรือ?” ถังกั่วเอ๋อมองดูเขาเดินมายังสนามฝึกฝีมือการต่อสู้อย่างเชื่องช้า เดินวนรอบอาวุธมากมายแปบหนึ่ง สุดท้ายหยิบเอาดาบเล่มยาวออกมา
เล่มนี้เป็นดาบทองสัมฤทธิ์ ลำดาบแกะสลักลายดอก แต่ดาบมีคม เฉียบคมสุดๆ
เมื่อเห็นเขายกดาบขึ้นก็ชี้ขึ้นในทันใดนั้น แววตาก็เยือกเย็นขึ้นมาทันมี ชี้มาทางด้านที่พวกเขาปืนอยู่ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “ใคร? ออกมา”
เจ๋อหลานนึกว่าตนเองหลบซ่อนไว้อย่างดี ไร้ที่ติ คนที่ถูกจับได้คือถังกั่วเอ๋อ
ดังนั้น เจ๋อหลานจึงไถลลงพื้นไปอย่างไม่มีน้ำใจ ทิ้งพี่สาวปืนอยู่ข้างบนคนเดียว หันไปมองหม้ายชิงหวาอย่างเก้อเขิน