บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1950 มีสิ่งที่อยากทำก็ไปทำ
งานแต่งงานกำหนดจะจัดขึ้นในเดือนแปด ระยะห่างในการจัดงานวันแต่งถึงแม้จะยังมีสี่ห้าเดือน แต่เพราะงานแต่งงานจะจัดอย่างใหญ่โต ดังนั้นเวลาจึงค่อนข้างเร่งรีบ
แต่เทสกาสเทศกาลเช็งเม้ง ฮ่องเต้จิ่งเทียนจะมาเมืองหลวงเป่ยถัง นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะยังไงเขาก็มาในฐานะฮ่องเต้
จิ่งเทียนก็มีการเขียนจดหมายเป็นการส่วนตัวมาหนึ่งฉบับ บอกว่าการมาในครั้งนี้ มีเหตุผลสองอย่าง อย่างแรกก็คือเพื่อตรวจสุขภาพอีกครั้ง แล้วก็มาขอบคุณอย่างเป็นทางการ
เหตุผลอย่างที่สองก็คือ ครั้งก่อนค่อนข้างเร่งรีบ ไม่ได้มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเมืองหลวงเป่ยถัง ครั้งนี้มาเพื่อหวังว่าจะได้ท่องเที่ยวรอบเมืองหลวง
ส่วนการมาในสถานะฮ่องเต้ แน่นอนว่ายังคงเป็นเหตุผลนั้น หารือความร่วมมือการค้าชายแดนระหว่างสองประเทศ เรื่องนี้จะต้องปรึกษาหารือกันดีๆ เพื่อผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ที่จริงไม่ว่าจะด้วยส่วนตัวหรือส่วนรวม ล้วนไม่กระทำให้หยู่เหวินเห้าต้องระมัดระวังถึงจะถูก
กลับกัน หลังจากที่หยู่เหวินเห้ารู้ว่าเขาจะมา ก็มักจะจิตใจไม่สงบ อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นความเป็นไปได้ให้หยวนชิงหลิงฟังว่า “เจ้าว่าเขาจะมาสู่ขอด้วยไหม? หากมาสู่ขอในสถานะฮ่องเต้ จะต้องปฏิเสธยังไงถึงจะไม่เป็นการทำลายมิตรภาพอันดีของทั้งสองประเทศ?”
หากพูดเป็นการส่วนตัว เขาไม่ต้องคิดถึงเหตุผลอะไร ปฏิเสธเพียงคำเดียว
กลัวเพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้น จะพูดขอแต่งงานเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศต่อหน้าราชวงศ์กับเหล่าขุนนาง ถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องมีเหตุผลอย่างคู่ควรที่เป็นถึงฮ่องเต้
หยวนชิงหลิงพูดปลอบเขาว่า “ไม่แน่นอน หากเขาจะมาสู่ขอจริงๆ ก็จะต้องได้รับการอนุญาตจากพวกเราก่อน หรือได้รับการยินยอมจากกวาเอ๋อร์ ความผิดอย่างเดิมหากกระทำผิดอีกครั้ง งั้นก็ปฏิเสธเขา ดีไหม?”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ามักจะรู้สึกว่าพวกผู้ชายเชื่อถือไม่ได้”
“เจ้าห้า เจ้าชื่นชมในตัวเขามากไม่ใช่หรือ?” หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมถามขึ้น
“ชื่นชมก็ชื่นชม ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้อายุน้อย เขาไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ” แต่ถ้าไม่คาดหวังในตัวลูกของเขา เขาก็จะชอบจิ่งเทียนอย่างมาก
หยวนชิงหลิงคิดในใจ หากครั้งนี้จิ่งเสี่ยวหวู่มาสู่ขออย่างเปิดเผยจริงๆ โดยที่ไม่ได้มีการขออนุญาตก่อน นางก็จะโกรธ
เพียงแต่ประโยคนี้ไม่ได้พูดกับเจ้าห้า เขาจะได้ไม่ต้องหวั่นไหวจนเกินไป แล้วก็เป็นกังวลทุกค่ำคืนวันว่าจิ่งเสี่ยวหวู่จะมาสู่ขอจริงๆ
“ใช่ เจ้าแห่งนรกคนที่เจ้าสมมติขึ้นมาคนนั้น หาเจอหรือยัง?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
“หาเจอแล้ว”
เจ้าห้าถามขึ้นว่า “ไปหาเมื่อไหร่? ทำไมไม่เห็นบอกข้า?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็เป็นคนที่สมมติขึ้นมาไม่ใช่หรือ? ใช้พลังจิตสื่อสารก็พอ ไม่ต้องไปหาจริงๆ”
“อืม ได้” หยู่เหวินเห้าพยักหัว
ถึงแม้ระหว่างพวกเขาจะยังไม่ได้หารือกันเรื่องเหล่านี้ แต่มีความเข้าอกเข้าใจกัน จึงเข้าใจกันโดยปริยาย สำหรับสิ่งลึกลับเหล่านี้ หากไม่จำเป็นหยวนชิงหลิงก็จะไม่พูด หยู่เหวินเห้าก็ไม่ถาม
กระบวนการไม่สำคัญ แค่รู้ผลก็พอ เพราะคนที่ทำงานให้คนนั้น เป็นคนที่ตนเองไว้ใจได้ที่สุด
หยวนชิงหลิงถามขึ้นว่า “งั้นเรื่องนี้ เราไปคุยกับกวาเอ๋อร์ด้วยกัน?”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “ไปคุยด้วยกันได้ แต่ข้ารับผิดชอบพูดหัวข้อ ข้อควรระวังต่างๆ หรือข้อควรตักเตือน กระทั่งคำพูดบางอย่างเพื่อให้นางระมัดระวัง เจ้าเป็นควรพูด ดีไหม?”
ยังไงเขาก็เป็นพ่อที่ดี จะไม่พูดจารุนแรงกับลูก สิ่งที่เขาต้องทำก็คือให้การสนับสนุนกับชื่นชมอย่างเดียว
หยวนชิงหลิงรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องพูดเช่นนี้ ต่อหน้าลูกสาวจะทำตัวเป็นคนดี
แต่ต่อหน้าลูกชาย สิ่งที่เขาควรพูดก็ยังต้องพูด รักลูกชายแต่ไม่ตามใจ เจ้าห้าทำอะไรล้วนมีความเหมาะสม
สองสามีภรรยาจึงเรียกเจ๋อหลานมา ให้ทุกคนออกไป….เอ่อ ที่จริงก็มีแต่มู่หร่งกงกง ตอนที่พวกเขาสองสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน มีเพียงมู่หร่งกงกงที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ในตำหนักอย่างดื้อรั้น
มู่หร่งกงกงถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนัก เขาเดินออกไปไกล จะปิดประตูคุยกัน จะต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรฟัง เขาเองก็จะไม่ไปแอบฟังเรื่องของเจ้านาย
ยกเว้นเฉพาะบางประการ
เจ๋อหลานแลดูวิตกกังวล หลังจากที่นางเล่าความในใจให้แม่ฟัง นางก็เป็นห่วงกลัวว่าพ่อจะรู้
พ่อไม่เหมือนแม่ สามารถยอมรับความแปลกใหม่ทุกอย่างได้ โดยเฉพาะกับนาง พ่อจะแลดูตื่นเต้นและก็ระมัดระวัง
ดังนั้น วันนี้ถูกเรียกมา ยังปิดประตูตำหนักคุยกัน นางจึงคิดว่า แม่จะต้องเล่าความคิดของนางให้พ่อฟังแล้วแน่ แล้วพ่อก็เตรียมพูดโน้มน้าวให้นางเลิกคิด
นางมองดูแม่แวบหนึ่ง แม่พยักหัวเล็กน้อย เท่ากับเป็นการบอกนางว่าพ่อรู้เรื่องแล้ว
ในใจนางหนักอึ้งเล็กน้อย ไม่โทษที่แม่ไม่รักษาคำพูด สำหรับพ่อแม่แล้ว ลูกมีความคิดแบบนี้ ถือเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก
นางมองดูสีหน้าพ่อที่จริงจัง จึงรีบพูดอธิบายว่า “พ่อ เรื่องที่ข้าพูดกับแม่ในวันนั้น ที่จริงก็แค่พูดไปเรื่อย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น”
หยู่เหวินเห้าได้ยินเช่นนี้ ก็ค่อนข้างเสียใจ ความเชื่อใจที่ลูกสาวมีเขากับเจ้าหยวนนั้นไม่เหมือนกัน ลูกสาวจะปิดบังความในใจไม่บอกเขา
แต่ก็เป็นเรื่องปกติ ความในใจของลูกจะต้องพูดคุยกับแม่ เขาจัดการความรู้สึกของตนเอง แล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อมีความคิดเช่นนี้ แล้วทำไมไม่ลงมือทำล่ะ?”
“อ๋า?” เจ๋อหลานอึ้ง ฟังผิดไปหรือเปล่า? หรือว่าพ่อกำลังลองใจนาง?