บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1955 ให้จิ่งเทียนไปคุย
พวกหยู่เหวินเห้าดื่มกันจนถึงประมาณเที่ยงคืนค่อยแยกย้าย สวีอีไปส่งฮ่องเต้แคว้นจินกลับเหอฮุยเตี้ยกลับไป หยู่เหวินเห้าดื่มไปเยอะมาก แต่ไม่มีอาการเมาเลย หลังจากองค์ชายรัชทายาทกับองค์ชายรองกลับไปแล้ว เขาก็ออกมาจากประตูตำหนัก
มู่หร่งกงกงรีบมาหา พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมฮ่องเต้ถึงดื่มจนถึงตอนนี้? รีบกลับตำหนักเร็ว กระหม่อมมีเรื่องจะคุยกับพระองค์”
“ฮองเฮาโกรธหรือ? ไม่น่านี่” หยู่เหวินเห้ามองดูท่าทีร้อนใจของเขา จึงพูดขึ้นมาอย่างหยอกล้อ เรื่องแบบนี้ เจ้าหยวนไม่เคยโกรธ อีกอย่างยังไงตอนนี้เขาก็ไม่เมา
“ไม่ใช่ฮองเฮาโกรธ แต่เจ้าหญิงร้องไห้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ตอนที่มู่หร่งกงกงพูดประโยคนี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสั่นเทา เคยเห็นเจ้าหญิงเป็นแบบนี้เสียเมื่อไหร่? แล้วฮองเฮาก็ไม่ร้อนใจ ไม่ตื่นเต้น ราวกับเจ้าหญิงไม่ใช่ลูกของนาง
หยู่เหวินเห้าอึ้ง งั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ จึงรีบพูดขึ้นว่า “ร้องไห้ทำไม? ถูกฮองเฮาตำหนิหรือ?”
“ไม่ได้ตำหนิ กลับมาก็ร้องไห้เลย ฮองเฮาไม่เห็นนางร้องไห้จึงไม่ได้ถาม…..”
มู่หร่งกงกงยังพูดไม่จบ หยู่เหวินเห้าก็วิ่งแล่นไปแล้ว
เขาไม่ได้ตรงไปหาเจ๋อหลาน แต่กลับไปหาหยวนชิงหลิง เพราะหากเจ้าหยวนเห็นว่านางร้องไห้แล้วไม่ถาม แสดงว่ากวาเอ๋อร์เจอปัญหา แล้วไม่อยากบอกพ่อแม่
ถึงแม้เขาจะร้อนใจแต่ก็ไม่เสียสติ ทั้งสองสามีภรรยาเคยตกลงกัน เรื่องพวกลูกๆ ล้วนต้องปรึกษากันก่อน
ก้าวเท้ายาวเดินมาถึงตำหนัก เห็นเจ้าหยวนเขียนพู่กันจีนอยู่ ในใจเขาหนักอึ้ง หากเจ้าหยวนเจอเรื่องหนักใจหรือเรื่องที่ไม่สามารถสงบจิตใจได้ ก็จะเขียนพู่กันจีนเพื่อสงบจิตใจ
“มีอะไรหรือ?” มือทั้งคู่ของเขาวางบนโต๊ะ มองดูเจ้าหยวน ใบหน้าที่แดงจากฤทธิ์เหล้าตกใจจนขาวซีดหมดแล้ว
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้น มองดูมู่หร่งกงกงที่ตามมาอยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง แล้วก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องร้อนใจไปหาเจ้าห้าแล้วแน่
มู่หร่งกงกงไม่คิดที่จะออกไป มองดูฮองเฮาด้วยสายตามีคำถามและแฝงไปด้วยความเป็นศัตรู
หยวนชิงหลิงเห็นมู่หร่งกงกงอยู่ด้วย ถึงถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นว่า “ก็เพราะจิ่งเทียนมาแล้วไง เราไม่ยอมให้พวกเขาเจอหน้ากัน จึงร้องไห้เพราะน้อยใจ”
เจ้าห้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ร้องไห้เพราะเรื่องนี้ เขามองดูมู่หร่งกงกงแวบหนึ่ง รู้ว่าเจ้าหยวนพูดเช่นนี้เป็นการพูดให้มู่หร่งกงกงผู้สอดรู้สอดเห็นตัวยงฟัง
มู่หร่งกงกงหันไปมองฮ่องเต้อย่างโศกเศร้า คนอะไร? ทำไมไม่ให้คนอื่นเจอหน้ากัน? ก็แค่เจอหน้ากันเองไม่ใช่หรือ? เขาจำไม่ได้แล้วว่า เดิมเขาก็ไม่ได้คาดหวังให้เจ้าหญิงแต่งงานไปยังแดนไกล
เจ้าหญิงน้ำตาไหล ถือเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าฟ้า
“มู่หร่ง เจ้าไปต้มน้ำสร่างเมามาให้ข้า” หยู่เหวินเห้าหาข้ออ้างให้เขาออกไป ช่างตัวติดคนจริงๆ
มู่หร่งกงกงหันเดินออกไป ในใจยังคงกระสับกระส่าย ดื่มน้ำสร่างเมาแล้วขอให้มีสติกลับมาด้วย
รอเมื่อมู่หร่งกงกงออกไปแล้ว หยู่เหวินเห้ารีบดึงหยวนชิงหลิงมานั่ง แล้วถามถึงเจ๋อหลานทันที
เจ๋อหลานเล่าสิ่งที่สัมผัสได้ให้เจ้าห้าฟังทั้งหมด หลังจากเจ้าห้าฟังแล้ว ก็เงียบไปเนิ่นนาน
ผ่านไปนาน เขาค่อยมองดูเจ้าหยวน พร้อมพูดขึ้นว่า “หรือว่า ข้าไปคุยกับนาง?”
“นางไม่เล่า เท่ากับว่านางไม่อยากเล่าให้พวกเราฟัง”
ในใจเจ้าห้ารู้สึกผิดหวัง ลูกสาวโตแล้ว มีบางเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้พ่อแม่ฟังแล้ว
หลังจากเขาเงียบไปอีกสักพัก รอเมื่อมู่หร่งกงกงยกน้ำสร่างเมามา เขาพูดกับมู่หร่งกงกงว่า “เจ้าไปที่ตำหนักเหอฮุย บอกฮ่องเต้จิ่งเทียนว่า….ให้เขาไปคุยเป็นเพื่อนเจ้าหญิง”
ไม่อยากที่จะพูดเช่นนี้เลย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ลูกสาวต้องการเพื่อนคนหนึ่งที่สามารถเล่าสู่ความในใจซึ่งกันและกันได้
มู่หร่งกงกงดีใจอย่างยิ่ง น้ำสร่างเมายังไม่ทันดื่ม คนก็ตื่นเสียแล้ว? เขารีบตามคนมาคอยปรนนิบัติฮ่องเต้ดื่มน้ำสร่างเมา แล้วตนเองก็รับไปยังตำหนักเหอฮุย
เจ๋อหลานนั่งอยู่บนชิงช้า นกฟีนิกซ์บนต่ำอยู่ข้างบน เจ๋อหลานแกว่งไปมา มันก็บินตามไปมา บรรยากาศค่อนข้างหนักอึ้ง
หลายปีมานี้นกฟีนิกซ์น้อยค่อนข้างสงบเสงี่ยม ที่สำคัญเพราะถูกทำลายมาเยอะ ดังนั้นเมื่อตอนที่เจ้านายกระวนกระวายใจ มันจะค่อนข้างว่าง่าย
เจ๋อหลานเหม่อลอยตลอด จนตรงหน้ามีเงาดำปกคลุม นางค่อยๆ เงยหัวขึ้น เห็นมีคนมา นางอึ้งไปสักพักแล้วคิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เขามาถึงเป่ยถังแล้ว
“เป็นอะไรหรือ?” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นอย่างเป็นห่วง เขาค่อยๆ เดินมา มือวางบนเชือกชิงช้า แล้วหยุดชิงช้า