บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1962 เลี้ยงส่ง
คณะแคว้นจินอยู่เป่ยถังสิบวัน ที่ควรเซ็นสัญญาต่างก็เซ็นแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างพอใจ สัญญาความร่วมมือทางการค้าระหว่างพรมแดน จะนำพาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงส่ง หยู่เหวินเห้ากับจิ่งเทียนคุยกันอยู่ในห้องทรงพระอักษรครึ่งชั่วโมง
สิบวันมานี้ หยู่เหวินเห้าป้องกันไม่ให้เขาพูดถึงเรื่องสู่ขอต่อหน้าทุกคนมาตลอด ถึงตอนนี้จะกลับแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดถึงเลย ทำให้หยู่เหวินเห้ารู้สึกผิดต่อเขา ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ
ดังนั้นตอนที่พูดร่ำลาจิ่งเทียน เขาพูดขึ้นว่า “ข้าเป็นกังวลมาตลอดว่าเจ้าจะพูดเรื่องสู่ขอ แต่เจ้าไม่ได้พูด เจ้าคิดเห็นอย่างไร? ไม่รู้สึกอะไรต่อเจ๋อหลานแล้วหรือ?”
สมกับประโยคที่ว่า กลัวเจ้าแย่งสิ่งของที่รักของข้าไป และก็กลัวเจ้ารังเกียจสิ่งของที่รักของข้า
พูดถึงเจ๋อหลาน สายตาจิ่งเทียนเต็มไปด้วยแววตาอ่อนโยน เขาส่ายหัวพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ ไม่ใช่ แต่ก่อนที่เจ๋อหลานจะกลับเมืองหลวง ข้าเคยคุยกับนาง เรื่องพวกนี้ต่อให้นางไม่พูดตรงๆ แต่ข้ารู้ นางไม่อยากแต่งงานเร็ว อย่างแรกคือเพื่อจะได้อยู่กับพระองค์กับเหนียงเหนียง อย่างที่สองคือนางมีสิ่งที่ตนเองอยากทำ ไม่อยากถูกพันธนาการจากการแต่งงานผูกมัด เมื่อก่อน….ข้าไม่รู้เรื่อง ถึงได้กระทำเรื่องเหลวไหลแบบนั้น ทำให้ทุกคนต่างลำบากใจ ตอนนี้ข้าคิดเข้าใจแล้ว ในเมื่อยังไงก็จะแต่งงานกับนางเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะรอไม่ไหว นางทำสิ่งที่อยากทำก็พอ ข้าจะรอนาง”
เจ้าห้าได้ฟังเช่นนี้ ในใจรู้สึกยินดี พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้จักคิดเช่นนี้ ข้าก็ดีใจ แต่มีประโยคหนึ่งข้าต้องพูดก่อนว่า เจ้ารอของเจ้าไป แต่นางอาจจะไม่แต่งงานกับเจ้า เจ้าต้องเตรียมใจยอมรับด้วย รอถึงที่สุดแล้วอาจเหลือเพียงความว่างเปล่า”
จิ่งเทียนลังเลสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าเตรียมใจไว้แต่เรียกแล้ว หากนางไม่แต่งงานกับข้า ก็จะต้องเป็นเพราะนางได้เจอคนที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ดีกับนางที่สุด ข้าก็วางใจ”
หยู่เหวินเห้ามองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “คิดเช่นนี้จริงๆ หรือ? อยู่ต่อหน้าข้า ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง”
จิ่งเทียนลังเลอีก จู่ๆ สายตาเป็นประกายเฉียบคม พร้อมพูดขึ้นว่า “วางใจก็ส่วนวางใจ ยังไงข้าก็จะพยายามแย่งชิง หากแย่งชิงกลับมาไม่ได้จริงๆ งั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ยังไงเรื่องแบบนี้บีบบังคับไม่ได้”
นี่ดูเหมือนเป็นคำพูดจากใจ หยู่เหวินเห้ายิ้มหัวเราะ รู้สึกชอบจิ่งเทียนมากขึ้นหน่อย
สิ่งที่เขายิ่งภาคภูมิใจก็คือ เจ๋อหลานไม่ใช่คนที่จะถูกความรักทำให้หลงระเริง นางยังคงยึดมั่นในความตั้งใจของตน กระทำสิ่งที่ตนเองอยากทำ
อีกอย่าง เจ๋อหลานทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูก ผู้ชาย หากได้อะไรมาง่ายๆ มักจะไม่เห็นค่า….ค่อนข้างไร้คุณค่า
งานเลี้ยงส่ง ต่างคุยกันอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ หยู่เหวินเห้าแทบไม่อยากให้พวกเขากลับไป
เมื่อได้คุยกับจิ่งเทียนแล้ว ทำให้เขาค่อยวางใจ ยอมให้เขาได้ไปร่ำราเจ๋อหลาน
ตำหนักเหอฮุย เจ๋อหลานเตรียมน้ำสร่างเมา รออยู่อย่างยิ้มแย้ม
เริ่มตั้งแต่จิ่งเทียนก้าวเข้ามาในตำหนัก วิญญาณเต็มไปด้วยความมึนเมา
การได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปนั้นยากแล้ว อย่างน้อย ต่อไปอีกหลายปีนี้ล้วนหาได้ยากมาก เขาจึงให้ความสำคัญเวลานี้มาก
พวกเขาคุยกันนานมาก แต่ไม่พูดถึงเรื่องแต่งงานเลย ราวกับทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน มีความคาดหวังถึงอนาคต
ต่อมาจิ่งเทียนมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “น้องชายของข้ามีความสามารถแล้ว ข้าไม่หลงใหลในตำแหน่งฮ่องเต้”
ในใจเจ๋อหลานสั่นไหว มองดูสายตามุ่งมั่นและอ่อนโยนของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่หลงใหลจริงๆ หรือ?”
“ไม่มีเลยสักนิด โดยเฉพาะหลังจากได้เซ็นสัญญาทางการค้าระหว่างพรมแดนกับเป่ยถัง ทิศทางในอนาคตของแคว้นจินถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าก็วางใจ บางทีหลังจากนี้อีกหลายปี ข้าก็สามารถปลีกตัวออกมาได้แล้ว”
เจ๋อหลานเท้าคางมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นหากไม่เป็นฮ่องเต้แล้ว เจ้าอยากทำอะไร?”
เขาพูดว่า “ยังไม่รู้เลย อาจจะมาเป่ยถังก่อน เจ้าเคยบอกข้าว่าเป่ยถังมีวิวทิวทัศน์งดงามอย่างมาก ข้าอยากเที่ยวสักรอบ ไม่รู้ว่าเจ้าจะพาไปได้ไหม?”
“อาจจะพาไปได้” เจ๋อหลานยิ้มหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า “ไปเป็นเพื่อนไท่ซ่างหวงแคว้นจิน ข้ายินดีอยู่แล้ว”
จิ่งเทียนมองดูรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ คำไหนคำนั้น ให้เวลาข้าห้าปี ข้าจะมาหาเจ้าที่เป่ยถัง ถึงตอนนั้นหวังว่าจะได้เห็นเจ้าที่ดียิ่งขึ้น และให้เจ้าได้เห็นข้าที่ดียิ่งกว่า”
เจ๋อหลานสัมผัสถึงความอบอุ่นของปลายนิ้วเขา ใบหน้าแดงระเรื่อ พร้อมพูดขึ้นว่า “ดี”
ทั้งสองคนมองตากัน ผลกระทบทางเคมีที่เกิดจากการผสมผสานของแสงในดวงตาค่อยๆ ปรากฏขึ้น การเจอกันในครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน พวกเขากำหนดเวลาระหว่างกัน ก่อนเวลาที่กำหนดนี้ พวกเขาสามารถไปทำสิ่งที่อยากหรือสิ่งที่ต้องทำอย่างเต็มที่