บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1968 เจ้าไปแจ้งความเลย
บทที่ 1968 เจ้าไปแจ้งความเลย
เจ้าตาทับทิมจูงมือพี่ซาลาเปาออกไปซื้อผักอย่างมีความสุข กลับมาทำกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง ทานกันจนช่างสวีรู้สึกเหมือนอ้วนขึ้นสิบจิน อิ่มจนถึงคอหอยเลยทีเดียว
หลายปีมานี้นางมีชีวิตอย่างเรียบง่าย ทานอาหารรสจืด รูปร่างงดงามดั่งเทพ ค่อนข้างแลดูเหมือนนักศิลปะ นางพูดล้อเล่นขึ้นมาอย่างหาได้ยากว่า “หากเป็นแบบนี้ทุกมื้อ ข้าก็คงจะกลายเป็นสาวอ้วนแล้ว เจ้าตาทับทิม พรุ่งนี้ห้ามเข้าครัวอีกนะ กับข้าวของเจ้าจะทำให้อาจารย์อ้วน”
เจ้าตาทับทิมดีใจจนยิ้มหน้าบาน เอนพิงข้างกายพี่ซาลาเปา พร้อมพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ข้าทำให้ท่านสามวันต่อหนึ่งมื้อ รับรองว่าท่านจะไม่อ้วน”
“ได้ได้ได้” ถึงแม้การรักษารูปร่างจะสำคัญมาก แต่กับข้าวพวกนี้ก็อร่อยมาก กินเยอะบ้างเป็นบางมื้อก็ไม่เป็นไร
ที่สำคัญที่สุดคือลูกศิษย์มีความกตัญญู ช่างสวียิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีลูกสาวนั้นมีความสุขจริงๆ
องค์ชายรัชทายาทเห็นเจ้าตาทับทิมรู้จักช่วยเก็บถ้วยชาม เช็ดโต๊ะอาหาร จากนั้นก็รินน้ำชามาให้ ละเอียดอ่อนอย่างมาก เขารู้สึกว่าเจ้าตาทับทิมค่อยๆ ซึมซับการใช้ชีวิตบนโลกนี้แล้ว น่าดีใจอย่างมาก
เจ้าตาทับทิมมีพรสวรรค์ด้านการแกะสลักอย่างมาก เพิ่งเรียนไปครึ่งเดือน ก็เห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
นางชอบแกะสลักจิ้งจอกน้อยมาก ตั้งอกตั้งใจกระทำสิ่งนี้ ช่างสวีบอกว่าแกะสลักจิ้งจอกน้อยต้องใช้ความสามารถสูงมาก เดิมไม่อยากให้นางเรียนแกะสลักจิ้งจอก
ตา ท่าทีของจิ้งจอกล้วนมีลักษณะพิเศษ จับความเคลื่อนไหวของจิ้งจอก จากความเคลื่อนไหวเป็นท่านิ่ง แกะสลักออกมาให้ได้เช่นนี้ถึงจะมีชีวิตชีวา
เพราะหาง
แต่นางยืนยันที่จะเรียนแกะสลักจิ้งจอก
ก็จะเปลี่ยนใจเอง จึงไม่สนใจนาง
ลักษณะนิสัยดื้อรั้น ช่างสวีคิดว่าหลังจากนางเห็นว่ายาก
ที่ไหนได้ หลังจากครึ่งเดือน
นางประสบความสำเร็จแล้ว ช่างสวีตกตะลึงอีกครั้ง
พรสวรรค์ของเด็กสาวคนนี้มีสูงมากจริงๆ
ช่วงนี้องค์ชายรัชทายาทก็งานยุ่งมาก
ยังต้องเดินทางไกล กลับมาไม่ได้หลายวัน จึงให้เจ้าตาทับทิมพักอาศัยอยู่ที่โรงงานก่อน
ไม่ต้องเดินทางไปมา
เจ้าตาทับทิมก็ชอบอยู่ที่นี่ ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่บ้านช่างสวี แต่ช่างสวีก็อาศัยอยู่ที่นี่เป็นบ้างครั้ง
ในโรงงานสามารถพักอาศัยได้
มีลานเล็กๆ อันหนึ่ง สงบเงียบสบายใจ
ช่างสวีเปิดโรงงานอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว
ดังนั้นคนมากมายจึงไม่กล้ามาหาเรื่องนาง บวกกับผลงานของนางยอดเยี่ยมมาก จึงมีเรื่องขัดแย้งน้อยครั้ง
ใช่ว่าไม่เคยเจอปัญหาเดือดร้อน แต่เพราะมีชื่อเสียง
กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากเจ้าตาทับทิมพักอยู่ที่นี่ นางยังรับผิดชอบเรื่องซื้อผัก
เดิมช่างสวีไม่เห็นด้วยที่จะให้นางออกไปปรากฏตัว แต่นางบอกว่า จะเลือกวัตถุดิบด้วยตนเอง
จึงออกจากบ้านไป
เจ้าตาทับทิมหน้าตาดี ไม่เพียงงดงาม
เพียบพร้อมไปด้วยความมีเสน่ห์ของวัยสาว ทำให้พวกอันธพาลต่างมาเกาะแกะ
ท่าทียังแฝงไปด้วยความใสซื่อ มีเสน่ห์ราวจิ้งจอก
เจ้าตาทับทิมถูกปกป้องเป็นอย่างดีมาตลอด
มองดูผู้คนล้วนคิดว่าเป็นคนเดียว คำพูดหยอกล้อฟังไม่เข้าใจ คิดว่าคนอื่นชอบนางว่าสวย
ดังนั้นถึงแม้จะเห็นว่าพวกเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก็ไม่ถือสาพวกเขา
สุดท้ายอันธพาลพวกนั้นตามนางมาถึงโรงงาน บอกว่าจะทานฝีมือนางทำกับข้าว
เจ้าตาทับทิมยืนอยู่หน้าประตูได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ก็ลำบากใจ
จึงพูดขึ้นว่า “ข้าซื้อมาแค่สำหรับคนสองคน ไม่ได้ซื้อมาเผื่อพวกเจ้า พวกเจ้ากลับไปเถอะ
ข้าไม่ทำข้าวให้ใครคนอื่น”
ฝีมือทำกับข้าวของนางต่อให้ไม่ทำให้พี่ซาลาเปาคนเดียว ก็ทำให้เพื่อนญาติพี่น้องที่รู้จัก ส่วนพวกเขานางไม่รู้จัก
นางพูดเสร็จก็เดินเข้าไปในโรงงาน นางไม่รู้ตัวเลยว่า หลังจากที่นางเข้ามาได้ไม่นาน อันธพาลพวกนั้นก็ตามเข้าประตูใหญ่มา
ช่างสวีแกะสลักอยู่ในห้องข้างใน ได้ยืนเสียงฝีเท้าเอะอะข้างนอก กับเสียงพูดแซวที่ไม่น่าฟังดังเข้าหู นางรีบวางมีดแกะสลักในมือ แล้วรีบเดินออกมา เห็นในห้องรับแขกมีวัยรุ่นมองซ้ายมองขวายืนเต็มไปหมด ลักษณะท่าทีไม่ปกติ จึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าเป็นใคร? อย่าเสียมารยาท รีบออกไป”
อันธพาลคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าสีสันชูดชาด ท่าทีหยิ่งผยอง เห็นช่างสวีเป็นผู้หญิง ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา เอื้อมมือไปผลักไหล่ของนาง พร้อมด่าว่า “หลีกไป อย่ามากีดขวางข้าหาสาวงาม”
ช่างสวีรูปร่างผอมบาง จู่ๆ ก็ถูกผลักอย่างไม่ทันตั้งตัว จนล้มลงกับพื้น
ไม่รอนางลุกขึ้นมา คุณชายสวมชุดผ้าแพรคนนั้น ยืนอยู่ที่สูง พร้อมถามขึ้นว่า “ข้าถามเจ้า หญิงสาวที่เดินเข้ามาเมื่อกี้คนนั้นเป็นอะไรกับเจ้า? เป็นลูกสาวของเจ้าหรือ? ข้าจะเอานางไปเป็นเมียรอง จะเอานางไปตั้งแต่วันนี้”
พูดเสร็จ ล้วงเข้าไปเอาตั๋วเงินออกมาจากกระเป๋าโยนให้กับช่างสวี พร้อมพูดขึ้นว่า “เอาเงินนี้ไป ถือเป็นเงินที่ข้าซื้อลูกสาวของเจ้า”
ช่างสวีมองดูตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง โกรธจนสั่นเทาไปทั้งตัว เอามือยันพื้นลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เจ้าอย่าคิด รีบไสหัวออกไป ไม่อย่างงั้นข้าจะไปแจ้งความ”
คุณชายสวมชุดผ้าแพรกับชายหนุ่มที่ตามมาพวกนั้นได้ยิน ต่างหัวเราะลั่น หนึ่งในนั้นมีคนพูดขึ้นอย่างดูถูกว่า “แจ้งความ? เจ้ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? ไปแจ้งความได้เลย ดูสิว่าใครจะสนใจเจ้า”