บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1977 ท่านย่าที่บ้านน่ารังเกียจมาก
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1977 ท่านย่าที่บ้านน่ารังเกียจมาก
บทที่ 1977 ท่านย่าที่บ้านน่ารังเกียจมาก
แม่สามีของตระกูลลู่ นั่นก็คือลู่ฮูหยินเฒ่าที่มีอุปนิสัยเข้มงวดคนนั้น ตอนนั้นนางเป็นหม้ายเลี้ยงดูลูกชายคนหนึ่งลูกสาวคนหนึ่งจนโต แน่นอนว่าครอบครัวสามีก็ยากจน ส่วนนางเองเข้าไปเป็นมามาดูแลจัดการงานในจวนให้กับขุนนางระดับสี่ เป็นคนไว้ใจของฮูหยินในจวน มอบหมายให้นางรับผิดชอบดูแลคนใช้ ดูแลจัดการเรื่องงานมงคลเรื่องงานศพ ล้วนเป็นนางดูแลจัดการ
ด้วยเหตุนี้ ภายในเรือนจวนนั้น นางถือเป็นคนที่มีอำนาจคนหนึ่ง พวกคนดูแลจัดการเรือนในตระกูลผู้ดีมากมายก็มีความสัมพันธ์กันบ้าง ถือได้ว่าเป็นคนรอบรู้
ต่อมาอายุค่อนข้างมากแล้ว เจ้านายให้เงินนางมาหนึ่งก้อน พร้อมกับลูกสาวใช้ให้สองคน แล้วให้นางกลับมาใช้ชีวิตเกษียณอยู่ที่บ้าน
อาจจะเป็นเพราะว่ามีอำนาจอยู่ในจวนจนเคยชินแล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ใช้กฎเกณฑ์ของคนในตระกูลใหญ่มาจัดการดูแลครอบครัว ลูกสะใภ้กับหลานจะต้องกตัญญูต่อนางไม่พอ ยังไงเป่ยถังก็เป็นประเทศที่มีนโยบายให้กตัญญู หากขัดคำสั่งก็จะถือว่าอกตัญญู เพื่อนบ้านใกล้เคียงก็ด่าไปกระดูก
และตอนนี้นางอยู่ในสถานะฮูหยินเฒ่า โดยเฉพาะไม่พอใจลูกสะใภ้ มักจะคิดว่านางเปิดเผยใบหน้าอยู่ข้างนอกถือเป็นการกระทำให้เสื่อมเสียตระกูลของตน
คุณหนูฮูหยินในตระกูลผู้ดี ไม่มีใครออกไปเปิดเผยหน้าตาเหมือนอย่างนาง ลูกชายก็เติบโตกันหมดแล้ว ล้วนต่างก็มีอาชีพเลี้ยงตน นางก็ควรที่จะปิดโรงงาน สิ่งนั้นสามารถทำเงินได้มากแค่ไหนเชียว? การเปิดเผยหน้าตาแบบนี้ หากภายหลังมีใครมาสู่ขอ ก็จะหาตระกูลที่ดีไม่ได้แล้ว
พี่ใหญ่ลู่มีคู่หมั้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะครอบครัวฝ่ายหญิงมีงานศพ หลังจากไว้อาลัยครบสามปีแล้วถึงจะสามารถแต่งงานได้
กลับคิดไม่ถึงว่าแม่ฝ่ายผู้หญิงก็เสียชีวิตอีก ต้องไว้อาลัยอีกสามปี นี่ช่วงไว้อาลัยก็จะครบกำหนดแล้ว งานแต่งงานกำลังจะเกิดขึ้น ลู่ฮูหยินเฒ่าก็กำลังเตรียมงาน
แต่ลูกสะใภ้มักจะมีความคิดเห็นอย่างมากมาย อันนี้ก็ไม่ต้องอันนั้นก็ไม่ได้ จนทำให้นางโกรธโมโหอย่างมาก
แต่งงานจัดงานมงคล ใครจะไปชำนาญกว่านาง? ช่างไม่รู้จักสงบเสงี่ยม ไม่รู้จักกาลเทศะ
และในตอนนี้
ไม่รู้ว่านางไปที่ไหน กลางคืนดึกดื่นไม่กลับบ้านไม่อยู่โรงงาน และได้ยินว่าถูกจับตัวไป ไม่นานลูกชายก็จะแต่งงานแล้ว
กับมีเรื่องในเวลาแบบนี้ แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ถือเป็นความโชคร้ายของตระกูลลู่จริงๆ
ดังนั้น ช่างสวีพาลูกๆ กลับบ้าน
แล้วก็เห็นฮูหยินเฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง สาวใช้ทั้งสองคนทุบไหล่ให้นางอยู่ สีหน้าของนางดำเหมือนดั่งก้นหม้อในครัว
มองเห็นพายุกำลังจะมา พี่ใหญ่ลู่จึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านย่า แม่บาดเจ็บเล็กน้อย หลานขอส่งแม่กลับไปที่ห้องก่อน”
ฮูหยินเฒ่าตบโต๊ะ พร้อมพูดขึ้นด้วยสายตาดุดันว่า “คุกเข่าลง”
“ท่านย่า ร่างกายแม่บาดเจ็บ คุกเข่าไม่ได้”
พี่ใหญ่ลู่เป็นห่วงแม่
ตนเองคุกเข่าลง พร้อมพูดขึ้นว่า “หลานคุกเข่าแทนแม่”
“เจ้าคุกเข่าอะไร? ลุกขึ้นมา”
ฮูหยินเฒ่าจ้องมองดูช่างสวี เห็นใบหน้าของนางเขียวบวม เสื้อผ้าบนร่างกายก็ไม่ใช่ชุดที่เคยใส่ จึงพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าไปมีเรื่องอะไรมา?
ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าอย่าออกไปเสนอหน้าเสนอตา ทุกครั้งที่บอกเจ้า เจ้าก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ตอนนี้ลูกชายของเจ้าใกล้จะแต่งงานแล้ว เจ้าก่อเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ เสื่อมเสียหน้าตระกูลลู่จนหมดสิ้นแล้ว ไร้ยางอายที่สุด”
ช่างสวีอยู่ต่อหน้าแม่สามี ยอมรับทุกอย่างอย่างไม่ขัดขืนมาตลอด
แม่สามีมีนิสัยเข้มงวดและชอบความมีอำนาจเหนือกว่า ต่อแข็งข้อต่อนาง คนที่ต้องทุกข์ทรมานยังไงก็เป็นตนเอง
และยังทำให้ลูกชายต้องกระทบกระทั่งกับท่านย่าเพื่อปกป้องตนเอง หากเป็นที่เล่าขานออกไปจะทำให้พวกเขาเสื่อมเสียชื่อเสียง พวกเขาต่างยังไม่ได้แต่งงานเลย
จะมีครอบครัวไหนอยากยกลูกสาวให้แต่งงานกับชายที่อกตัญญู
นางอดทนคุกเข่าลง ส่งสายตาให้กับพวกลูกๆ ไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องขัดขืน
ฮูหยินเฒ่าเห็นนางคุกเข่าลง หลังจากชี้หน้าก่นด่าเสร็จแล้ว ค่อยสั่งให้พวกหลานเล่าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
พวกพี่น้องตระกูลลู่เป็นห่วงแม่ ต่างก็คุกเข่าด้วย รีบเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวดเร็วว่า ศิษย์น้องถูกลวนลาม จึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้
ฮูหยินเฒ่าฟังแล้ว ก็โกรธโมโหอย่างมาก ตะคอกก่นด่าว่า “เจ้าไปเรียนแบบคนอื่นรับลูกศิษย์หรือ? เจ้าถือว่ามีฝีมืออะไรกัน? ไม่เห็นว่าเจ้าจะหาเงินมาได้ ขุนนางแซ่เปา ข้าทำงานอยู่ในจวนขุนนางมานานหลายปี ไม่เคยได้ยินว่ามีขุนนางคนไหนแซ่เปา เจ้าไม่อยู่ในธรรมเนียมก็ช่างเถอะ ตอนนี้กลับไปมีเรื่องกับขุนนาง ล่วงเกินคนในราชสำนัก หากเรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือออกไป ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ชื่อเสียงของข้าที่สร้างมานานขนาดนี้ ล้วนถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว เจ้าบีบบังคับให้ข้าฮูหยินเฒ่าขับไล่เจ้าออกไปจริงๆ”
นางยิ่งด่าก็ยิ่งโมโห นางมีชื่อเสียงที่ดีในการดูแลคนในจวนอย่างเข้มงวด ตอนนี้ในบ้านเกิดเรื่องเช่นนี้ จะให้นางเอาหน้าที่ไหนไปหาพวกพี่น้องเพื่อนพ้อง แม้แต่ฮูหยินที่เป็นเจ้านายก็คงไม่สนใจนางอีกแล้ว
น้ำตาแห่งความน้อยใจของช่างสวีไหลลงมา ปกติก็ช่างเถอะ ครั้งนี้ไปเจอกับความน้อยใจตกใจกลับมา ไม่พูดจาห่วงใยไม่เป็นไร ยังจะชี้หน้าก่นด่าขนาดนี้ ด่าอย่างหยาบคายขนาดนั้น นางก็อดทนไม่ไหวแล้ว ปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา
พี่ใหญ่ลู่เห็นแล้ว จึงรีบประคองแม่ลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “แม่ เรากลับไปเก็บของแล้วก็ย้ายออกไป ยังไงท่านก็เตรียมบ้านไว้ให้กับพวกเราแล้ว เราไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
หลายปีมานี้ช่างสวีเก็บเงินได้ไม่น้อย ซื้อบ้านให้กับลูกชายทั้งสี่คน รอหลังจากที่พวกเขาแต่งงานแล้วก็จะย้ายออกไปอยู่เอง จะให้ลูกสะใภ้ในอนาคตมาทนรับอารมณ์ของฮูหยินเฒ่าคงไม่ได้