บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1988 เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ
บทที่ 1988 เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ
บทที่ 1988 เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ
หลังจากรัชทายาทกลับมาถึงเมืองหลวง ก็ตรงกลับวังไปน้อมทักทายเสด็จพ่อเสด็จแม่ ถามไถ่ทุกข์สุขรวมถึงมอบของขวัญให้ทันที เขาคุ้นเคยกับการที่ไม่ว่าจะไปถึงสถานที่แห่งไหน ก็จะนำของขวัญของฝากจากท้องถิ่นนั้น ๆ กลับมาให้พ่อกับแม่ทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อแทนความหมายว่า แม้ตัวเขาจะอยู่นอกบ้าน แต่ใจเขายังคงรักใคร่คิดถึงบ้านอยู่เสมอ
พูดได้ว่า การอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวของเจ้าห้าและเจ้าหยวนประสบความสำเร็จดีมาก ลูก ๆ ทุกคนต่างรู้ความและกตัญญูอย่างยิ่ง
ที่ฝั่งของพ่อกับแม่ รัชทายาทรู้แล้วว่าเจ้าตาทับทิมเกือบจะถูกคนรังแก ช่างสวีถูกจับขังคุกที่กรมการปกครองเหนือ กลายเป็นผู้มีความผิดทางอาญา
เขาอยากรีบกลับไปหาเจ้าตาทับทิมทันที แต่หยวนชิงหลิงบอกเขาว่า เจ้าตาทับทิมไปดูแลอาการบาดเจ็บของอาจารย์ ขอให้เขาไปที่นั่นสักครั้ง
ช่วงพลบค่ำดวงตะวันลาลับ แสงตะวันรอนค่อย ๆ เลือนหายไปจากท้องฟ้า รัชทายาทไปที่โรงงานก่อน ประตูโรงงานปิดสนิท จึงนึกขึ้นมาได้ว่าบางทีช่างสวีอาจจะพักฟื้นที่บ้าน จึงตรงไปที่บ้านของช่างสวีแทน
ก่อนที่จะมาพบช่างสวีเพื่อขอให้นางมาเป็นอาจารย์ของเจ้าตาทับทิม เขาได้สืบหาจนรู้ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับช่างสวีอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งแล้ว แน่นอนว่าบ้านที่อยู่อาศัยของนาง เขาก็ย่อมรู้ชัดเจนมากเช่นกัน
เมื่อเขามาถึงบ้านตระกูลลู่ ก็เห็นเพียงควันที่ลอยโขมงมาจากหลังคา กับกลิ่นหอมของอาหารโชยมา เขาผลักประตูที่ปิดอยู่แต่ไม่ได้ลงดาล น้องชายคนเล็กตระกูลลู่กำลังตักน้ำจากบ่อ ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันหน้ากลับมามอง ทันทีที่เห็นก็มีอาการเข่าอ่อนจนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นก่อนแล้ว พร้อมทั้งพาถังน้ำในมือลงไปคุกเข่าด้วย “รัช รัชทา…”
บรรดาพี่น้องทั้งหลายในตระกูลลู่ต่างทยอยวิ่งออกมาทีละคน ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ทั้งหมดก็คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง รู้สึกตื่นเต้นใจสั่นกันจนทำอะไรไม่ถูก
เจ้าตาทับทิมกับฮูหยินเฒ่าตระกูลลู่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว ได้ยินการเคลื่อนไหวก็พากันออกมาด้วย พอเจ้าตาทับทิมเห็นว่าเป็นพี่ซาลาเปา ก็วิ่งเข้าไปจับไม้จับมืออย่างมีความสุข ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ถามรัวเป็นชุดว่า “เจ้ากลับมาแล้วรึ? กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่? แล้วเจ้าหมาป่าซาลาเปาล่ะ? ข้าคิดถึงเจ้าหมาป่าซาลาเปามาก ๆ เลย”
“ข้าเพิ่งกลับมาวันนี้เอง ท่านแม่บอกข้าว่าเจ้าอยู่ที่นี่” รัชทายาทประคองไหล่ของนาง ดวงตาหล่อเหลาได้รูปเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เจ้าหมาป่าซาลาเปาอยู่ในวัง ข้าไม่ได้พาออกมาด้วย มันเองก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน คืนนี้เจ้าก็กลับไปเล่นกับมันสักหน่อยเถอะนะ”
“อื้ม ๆ !” เจ้าตาทับทิมกำลังทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังทำอาหารอยู่ จึงร้องอุทานขึ้นว่า “อาหารของข้าจะไหม้หมดแล้ว เจ้ารีบเข้าไปนั่งข้างในก่อน อีกเดี๋ยวเราก็จะกินข้าวกันแล้ว ”
พูดจบ ก็รีบวิ่งตึงตังกลับเข้าไป
ฮูหยินเฒ่าตระกูลลู่คุกเข่าอยู่ที่พื้น สีหน้าของนางซีดขาว ในใจนึกหวาดกลัวอย่างมาก ร่างกายสั่นสะท้านราวใบไม้ที่หลงเหลือท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ร่วง กระทั่งจะเงยหน้าขึ้นนางก็ยังไม่กล้า
อันที่จริงวันนี้นางยืนกรานแล้วว่า จะไม่ให้ว่าที่พระชายารัชทายาททำอาหาร แต่นางดื้อรั้นจะทำให้ได้ บอกว่าอยากดูแลอาจารย์ด้วยตัวเอง จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล นางจึงทำได้เพียงต้องยอมให้เข้ามาเป็นลูกมือช่วยในครัว
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 1988 เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ –
ผลสุดท้าย กลับกลายเป็นว่ารัชทายาทเสด็จมาตอนนี้พอดี แล้วได้เห็นกับตาตัวเองว่าพระพระชายารัชทายาทในอนาคตผู้นี้ กำลังทำอาหารอยู่ในครัวตระกูลลู่ นางตายแน่ ตายสถานเดียวแน่ ๆ แล้ว!
นางถึงกับเตรียมใจพร้อม รอรับความพิโรธโกรธกริ้วอันสะท้านฟ้าสะเทือนดินของรัชทายาทไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กลับได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ทุกคนลุกขึ้นมาเถอะ คุกเข่ากันทำไมล่ะนี่? ช่างสวีล่ะ? พาข้าเข้าไปเยี่ยมดูนางหน่อย”
ช่างสวีจิตใจมั่นคงหนักแน่น หลังจากได้พบรัชทายาทก็น้อมทักทาย จากนั้นระหว่างที่พูดคุยกันก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นอะไรมากมาย แค่มีท่าทางที่ดูจะเคารพให้เกียรติกว่าแต่ก่อนมาก
แต่เพราะกริยาท่าทางที่รัชทายาทแสดงออกอย่างชิดใกล้เป็นกันเอง ยังเหมือนกับช่วงก่อนที่จะตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยทุกประการ ทุกคนจึงค่อย ๆ ถูกบรรยากาศชักนำจนเกิดความรู้สึกสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมาได้
รัชทายาทอยู่กินข้าวที่บ้านตระกูลลู่ ส่งผลให้ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ฮูหยินเฒ่าตระกูลลู่ก็ไม่กล้าร่วมโต๊ะด้วย พี่ใหญ่ตระกูลลู่จึงทำได้แค่พานางกลับห้อง แล้วค่อยจัดอาหารไปส่งให้นางแยกต่างหาก ปล่อยให้นางกินข้าวในห้องตัวเองตามลำพัง
หลังมื้อเย็น รัชทายาทก็สอบถามความกระจ่างของเหตุการณ์ในวันนั้นจากช่างสวีและเจ้าตาทับทิมอีกครั้ง หลังจากฟังจบ เขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าโกรธเคืองอะไรมากมาย ถึงกับยกยิ้มน้อย ๆ ด้วยซ้ำ จากนั้นก็หันไปพูดกับช่างสวีว่า “ในชีวิตคนเรา มักจะต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายอยู่เสมอ แต่โชคดีที่จักรวาลของเราล้วนมีกฎแห่งกรรม คนเลวไม่มีทางหลบซ่อนไปได้ตลอด อย่างไรก็ต้องถูกลงโทษอยู่วันยังค่ำ อย่าไปคิดว่าเพราะได้ประสบเรื่องเลวร้ายครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าชีวิตนี้เลวร้ายไม่เป็นไปดังปรารถนาเลยนะ”
ทุกคนคิดกันว่ารัชทายาทน่าจะโกรธมาก เพราะถึงอย่างไร คนที่คุณชายตระกูลฉินนั่นรังแกก็คือเจ้าตาทับทิมน้อย แม้แต่พวกเขาเองก็ยังโกรธกันแทบตายให้ได้แล้ว
แต่หลังจากที่รัชทายาทได้ฟังเรื่องนี้แล้ว กลับแสดงท่าทางที่เหมือนกับได้ฟังเรื่องธรรมดาทั่ว ๆ ไปแค่นั้น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความโกรธแค้นในดวงตาของเขาเลยสักเศษเสี้ยว
หรือไม่เขาก็อาจจะไม่ได้โกรธจริง ๆ หรือไม่ขอบเขตของเส้นอารมณ์กราดเกรี้ยวของเขาคงจะอยู่สูงเกินไป การฝึกฝนจิตใจของเขานั้นสูงมากจนไม่แสดงให้เห็นความปิติยินดี ความโกรธแค้น ความโศกเศร้าออกมาให้คนภายนอกรู้
หลังจากคุยกันจบก็พาเจ้าตาทับทิมกลับวัง ระหว่างทางเจ้าตาทับทิมถามเขาว่า “เจ้าไม่โกรธจริง ๆ น่ะรึ? เจ้าไม่สนใจข้าซักนิดเลยหรือ? หลังจากฟังจบ ไม่เห็นเจ้าจะพูดอะไรที่แสดงว่าโกรธเคืองบ้างเลย”
แม้ว่านางจะไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวบนโลกใบนี้ แต่เพราะเมื่อครู่ตอนอยู่ที่บ้านตระกูลลู่ ทุกคนต่างก็งุนงงมากที่เขาไม่โกรธเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้นางพลอยงุนงงไปด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าใครเมื่อได้เจอกับคนชั่ว ๆ หรือเรื่องชั่วร้าย ก็ควรต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดาถึงจะถูกต้อง นี่คือความเข้าใจในอารมณ์ของมนุษย์แบบใหม่ล่าสุดที่นางได้เรียนรู้
รัชทายาทกุมมือน้อย ๆ ของนาง ยิ้มแย้มพลางพูดว่า “สนใจหรือไม่ นั่นคือต้องไม่สนใจว่าคนคนนี้พูดอะไร แต่ต้องสนใจว่าคนคนนี้ทำอะไร”
เจ้าตาทับทิมเอียงหน้ามาถาม “อย่างนั้นรึ? แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรล่ะ?”
“ก็ไม่รู้สินะ” ในดวงตาของรัชทายาทปรากฏเพียงความมืดทะมึน ไม่มีแสงสว่างแม้เพียงเศษเสี้ยว