บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1990 ราชสำนักทะเลาะกันแล้ว
บทที่ 1990 ราชสำนักทะเลาะกันแล้ว
โจวเม่าพาหมอหลายคนเข้าไป เห็นแค่บรรดาชายหนุ่มที่แต่ก่อนอวดเบ่งลำพองอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวและบาดแผลน้อยใหญ่ทั่วตัว แต่ไม่มีบาดแผลไหนที่ร้ายแรงถึงชีวิต การกัดแต่ละครั้งไม่ได้ต้องการให้ตาย แต่ความเจ็บปวดจากการถูกกัดนั้น สร้างความเจ็บปวดเกินกว่าที่คนธรรมดาจะทนรับไหว แต่ละคนเจ็บจนแทบจะเป็นลมหมดสติไปให้ได้
ในหมู่พวกเขา คุณชายฉินมีสภาพน่าอนาถที่สุด กระดูกน่องทั้งสองข้างถูกกัดจนแตก หมาป่าซาลาเปาทำจมูกฟุดฟิดตรงตำแหน่งต่ำกว่าท้องส่วนล่างของเขาลงไปสองสามชุ่น อ้าปากแยกเขี้ยวสามสี่ครั้ง ในใจคิดอยากจะกัดทิ้งให้เหี้ยนจริง ๆ แต่ก็ทำใจใช้ปากตัวเองกัดไม่ลง ช่างลำบากหมาป่าเช่นมันเหลือเกินแล้ว
สุดท้าย ก็กระโจนร่างเหินขึ้นไป นั่งลงปลุกคุณชายฉินที่สลบไปเพราะความเจ็บให้ตื่นขึ้นมา ก่อนจะสลบไปอีกครั้ง หมาป่าซาลาเปาถึงค่อยรู้สึกพอใจ ก่อนจะพาบรรดาเจ้าเสือและหมาป่าตัวอื่น ๆ เดินนวยนาดออกไป
พวกหมอต่างตกใจจนตาค้างกันหมด โชคดีที่โจวเม่ายืนสั่งการอยู่ข้าง ๆ ว่าให้รีบห้ามเลือด รีบ ๆห้ามเลือด!
รถม้าถูกเตรียมไว้นานแล้ว หลังจากห้ามเลือดเสร็จ ก็มีคนเข้ามาแบกพวกนั้นออกไปโยนใส่รถม้า แล้วสั่งให้ไปทิ้งแต่ละคนที่บ้านของใครของมัน เก็บค่ารักษาพยาบาล จากนั้นค่อยกลับ
ตระกูลฉินวุ่นวายโกลาหล นายใหญ่เพิ่งเกิดเรื่องได้ไม่นาน ลูกชายคนเดียวคนนี้ก็มาได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้อีก ทั้งยังบาดเจ็บที่ “ตรงนั้น”อีกต่างหาก ไม่ว่าจะส่งคนไปสอบถามเท่าไหร่ ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าไปทำให้ใครขุ่นเคืองใจเข้า
ได้ยินแค่ว่ามีเสือกับหมาป่ามาปรากฏตัว ผู้รอบรู้บางคนบอกกับพวกเขาว่า รัชทายาทองค์ปัจจุบันกับบรรดาองค์ชายต่างก็เลี้ยงเสือกับหมาป่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจไปทำให้พวกราชวงศ์ขุ่นเคือง?
แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีวิธีตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง จึงทำได้แค่ต้องแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ไปก่อน
แจ้งเจ้าหน้าที่นับว่าถูกต้องแล้ว หลังจากที่กรมการพระนครรับคดี ก็เริ่มสืบสวนบรรดาคดีความต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ประจวบเหมาะกับอีกสองสามวันต่อมา อาการบาดเจ็บค่อย ๆ ทุเลาลงแล้ว ก็มีคนจากกรมการพระนครมาพาตัวพวกเขาไป
ในหมู่พวกเขา น้องชายคนเล็กตระกูลลู่เป็นคนที่กระตือรือร้นที่สุด บุกเข้าไปลากตัวคุณชายฉินออกจากประตูบ้านอย่างเอิกเกริก ทั้งยังแอบซัดไปสองหมัดหนัก ๆ เพื่อระบายความโกรธแทนท่านแม่กับเจ้าตาทับทิมน้อย
หยวนชิงหลิงยังสั่งให้ราชสำนักจัดตั้งกรมการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อร่วมรับมือกับเรื่องที่เกิดในครั้งนี้ สร้างกระแสความคิดเห็นสาธารณะในหมู่ประชาชน
เมื่อบอกว่าจะมีการจัดตั้งกรมการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โสวฝู่เหลิ่งก็นึกถึงจวนอ๋องซู่ขึ้นมาทันที
ในเป่ยถัง เคยมีคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเตร่ไปมาตามตรอกซอกซอยทั้งน้อยใหญ่ตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็นโรงน้ำชาเหลาสุราโรงเตี๊ยม คอยเผยแพร่ข่าวลือทุกประเภท ทั้งข่าวจริงข่าวเท็จก็สามารถกระพือให้แพร่กระจายได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งวัน วุ่นวายจนสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้เลยทีเดียว
อีกทั้งคนกลุ่มนี้ ตอนนี้นับว่ามีอายุมากแล้ว แต่ในหัวก็ยังคิดแต่เรื่องหาเงินหาทองเหมือนเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ไม่เปลี่ยน เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขายังช่วยองค์ชายรองเปิดเหมืองขุดแร่อย่างกระตือรือร้นจนเป็นที่รู้กันไปทั่วอีกด้วย
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 1990 ราชสำนักทะเลาะกันแล้ว –
หากจะพูดว่า พวกเขารักษาความกระตือรือร้นในการหาเงินอยู่เสมอ ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะควบคุมกรมการโฆษณาประชาสัมพันธ์นี้ได้ด้วยใช่หรือไม่?
เมื่อเป็นแบบนั้น มีกำลังคนในมือพร้อม ก็แค่ต้องมองหาคนที่สามารถเขียนบทความได้สักหลาย ๆ คนเพื่อเขียนต้นฉบับ แล้วพูดให้พวกเขาฟัง จากนั้นก็ให้พวกเขาออกไปกระจายข่าว
หลังจากที่หยวนชิงหลิงได้ฟังข้อเสนอของเขาแล้ว ก็ให้คำแนะนำด้วยเล็กน้อย คำพูดจากปากเปล่าก็นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะอย่างไรก็มีผู้หญิงหลายคนที่ไม่รู้หนังสือ แต่หนังสือพิมพ์ก็ถือว่าจำเป็นต้องมีถูกหรือไม่? เพราะท้ายที่สุดเรื่องพวกนี้ต้องมีการสั่งสมไว้เพื่อให้ผู้คนในเป่ยถังทั้งหมดได้รับรู้
ผู้ชายในเป่ยถังจำเป็นต้องรู้ว่า มีผู้ชายบางคนในเป่ยถังที่ทำเรื่องสกปรกชั่วช้าบัดสีแบบนี้อยู่ด้วย
ในส่วนที่เกี่ยวกับแนวคิดและวิธีการจัดทำหนังสือพิมพ์ หยวนชิงหลิงได้พูดคุยกับโสวฝู่แล้ว หลังจากที่โสวฝู่ได้ฟัง เขาก็ตบโต๊ะผางแล้วลุกขึ้นทันที “เป็นวิธีที่ดีมาก ข้าจะทำเดี๋ยวนี้”
โสวฝู่บอกว่าจะทำเดี๋ยวนี้ ก็คือทำเดี๋ยวนี้จริง ๆ พอกลับไปถึงจวน ก็ส่งคนไปแจ้งเจ้าหน้าที่ในบังคับบัญชาไปติดต่อโรงพิมพ์ แล้วโอนบัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการสองคนจากราชวิทยาลัยหลวงมาเขียนบทความให้ก่อน แล้วจึงติดต่อกั๋วจื่อเจียน เพื่อคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมสักสองสามคนมาเป็น…… ตามที่ฮองเฮาทรงตรัสไว้ว่า ต้องมีคนมาเป็นนักข่าว
เมื่อก่อนโสวฝู่เคยทำงานในกั๋วจื่อเจียน แผนกเก่าของเขาเอง ย่อมคุยกันง่ายทำอะไรได้สะดวก
แน่นอนว่าการจัดตั้งโรงเรียนสตรี ไม่สามารถตัดสินได้จากคำพูดของฮองเฮาเพียงคนเดียว เพราะถ้าต้องดำเนินการทั่วประเทศ งานนี้เป็นงานใหญ่ที่ต้องทำเป็นวงกว้าง จะรีบร้อนไม่ได้
เรื่องนี้มีการหารือกันล่วงหน้าในตอนประชุมราชกิจเช้า ถกเถียงกันจนฟ้าดินแทบพลิก ประชุมราชกิจเช้ากินเวลาตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จนถึงยามพระอาทิตย์ตก ไม่เคยมีเหตุการณ์สำคัญใดที่ทำให้ประชุมราชกิจเช้าใช้เวลาประชุมถึง …… หนึ่งวันเต็ม ๆ
ตามที่หยวนชิงหลิงคาดการณ์ไว้ พวกขุนนางใหญ่บางคนที่ร่ำเรียนศาสตร์วิชาความรู้แบบโบราณ มีความคิดว่า “สตรีที่ไร้ความรู้ความสามารถนับว่าเป็นคุณธรรม” แค่ให้พวกนางรู้คำศัพท์แค่สองสามคำก็พอแล้ว ถ้าต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการสร้างโรงเรียน ถือว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เรียกได้ว่าสิ้นเปลืองอย่างมหาศาล
แน่นอนว่าก็ต้องมีพวกที่สนับสนุนให้สร้างโรงเรียน พวกเขารู้สึกว่าประเทศในตอนนี้ สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ ในเมื่อประเทศก้าวเข้าสู่ความรุ่งเรืองมั่งคั่งแล้ว อีกทั้งก็ไม่มีสงครามชายแดนอีก ในประเทศก็สงบสุข ทำไมจะยกระดับผู้คนขึ้นไปอีกขั้นไม่ได้ล่ะ?
เมื่อทะเลาะกันจนถึงช่วงสุดท้าย ทุกคนต่างขุดเอาเหตุผลของตัวเองเท่าที่จะพูดได้ออกมาจนหมดจนสิ้น เรียกว่าขุดกันจนแทบไม่เหลือคำพูดอะไรแล้ว ช่วงเริ่มต้นมีทั้งหลงประเด็นต่าง ๆ นา ๆประชันวิวาทะตะเบ็งเสียงโต้เถียงกันแบบไม่มีใครยอมใคร ฝั่งผู้อภิปรายที่เห็นด้วยบอกว่า ผู้หญิงรู้หนังสือก็เป็นเรื่องที่ดี การที่รู้หนังสือก็ช่วยให้รู้เหตุรู้ผล จากนี้ไปเวลาที่ผัวเมียที่เป็นชาวบ้านร้านตลาดทะเลาะกัน ก็จะสามารถใช้คำหยาบคายให้น้อยลงหน่อย ใช้คำพูดที่บ่งบอกความมีการศึกษามากหน่อย นี่ไม่ดีหรอกหรือ?
ส่วนฝั่งที่ไม่เห็นด้วยก็ตะเบ็งเสียงจนหน้าแดงคอแหบไม่ต่างกัน มีอะไรดีไม่ทราบ? ถ้าจะพูดถึงการทะเลาะวิวาทระหว่างผัวเมียในอดีต ที่ผ่านมาเป็นเพราะผู้หญิงไม่รู้หนังสือ ผู้ชายแค่ยกคำพูดแบบศัพท์แสงยาก ๆ มาพูดให้กำกวมเข้าไว้ พวกนางก็ได้แต่ตกตะลึงอึ้งค้างกันหมดแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าลองทำแบบนั้นสิพวกนางจะได้ร่าย “หนังสือทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้า”อัดใส่หน้าเจ้าประไร
หยู่เหวินเห้านั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ถือชามใส่บะหมี่ทะเลพลางกินบะหมี่ไปเรื่อย ๆ ยังคงฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะหันกลับไปสั่งมู่หรูกงกงว่า “ใส่ไข่พะโล้ให้ข้าฟองหนึ่ง”
วันนี้เขากินไปสองมื้อ วิ่งไปห้องน้ำสามครั้ง ทั้งยังแอบใช้เวลาพักหนีกลับไปหลับกลางวันกับภรรยาได้อีกงีบ พอกลับมาพวกเขาก็ยังเถียงกันไม่เสร็จ ทั้งดูเหมือนว่ายังสามารถเถียงกันต่อได้แบบยาว ๆ อีกด้วย
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากโอรสสวรรค์ที่พระราชทานอาหารมาให้ ทุกคนต่างก็หิวจนท้องไส้กิ่วกลวงไปหมด จึงนั่งลงบนโถงว่าการแล้วเริ่มกินทั้งอย่างนั้น พอกินเสร็จพวกเขาก็เถียงกันต่อ