บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1991 สร้างสมาพันธ์สตรีก่อน
บทที่ 1991 สร้างสมาพันธ์สตรีก่อน
หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็เถียงกันต่อ
เนื้อหามีการหลงประเด็นไปหลายครั้ง แต่เพราะโสวฝู่สามารถต้านทานกระแสคลื่นคลั่ง จนพลิกหัวข้อกลับมาที่ประเด็นการสร้างโรงเรียนสตรีได้
โสวฝู่เหนื่อยมากจริง ๆ แต่ก็พอใจมาก ฮองเฮาทรงตรัสว่ามีการทะเลาะกันนับว่าเป็นเรื่องดี สิ่งที่น่ากลัวคือไม่ทะเลาะกันต่างหาก เพราะถ้าไม่ถูกยกมาเป็นเรื่องทะเลาะ นั่นพิสูจน์ได้ว่าไม่มีใครสนใจมองว่าสำคัญ
การที่ผลออกมาแบบนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดว่าคงจะมีแค่ไม่กี่คนที่เห็นด้วย ถ้าเป็นแบบนั้น ผลในท้ายที่สุดคงเป็นลบไปอย่างท่วมท้นแน่
เขายังแอบใช้เวลาว่างไปรายงานให้ฮองเฮารู้ด้วย ฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีสงบผ่อนคลายว่า “ ให้พวกเขาเถียงกันต่อไปเถอะ ความเป็นจริงมันจะยิ่งชัดเจนขึ้นด้วยตัวของมันเอง”
นางยังถึงขั้นเตรียมโสมแผ่นไว้ด้วย แล้วสั่งให้ข้าหลวงในวังนำไปแจกจ่ายเพราะกลัวว่าทุกคนจะเถียงกันจนขาดอากาศ ไม่ก็หายใจหายคอไม่ทัน พอได้อมโสมแผ่นแล้ว จะได้เถียงกันต่อ
คณะที่มีเจ้าห้าเป็นผู้นำล้วนกล้าพูดแบบตรงไปตรงมากว่า พวกขุนนางถึงขั้นกล้าพูดพาดพิงถึงฮ่องเต้ตรง ๆ ดังนั้น หลังจากถกเถียงกันมาตลอดทั้งวัน นอกเหนือจากส่วนที่หลงประเด็นไปบ้าง คำพูดส่วนใหญ่ล้วนมีคุณภาพดีทีเดียว
หลังจากได้ฟังรายงานแล้ว นางสรุปได้ว่าคนที่คัดค้านแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือกลัวว่าจะต้องสิ้นเปลืองเงิน ตระกูลหยู่เหวินนับตั้งแต่ฮ่องเต้เซี่ยนเสด็จขึ้นครองราชย์ก็เริ่มสนับสนุนในเรื่องความประหยัด ขนบธรรมเนียมอันดีงามที่สืบทอดต่อกันมาจนถึงทุกปัจจุบันนี้ทำให้เมื่อไหร่ก็ตามที่ราชสำนักเสนอโครงการอะไรที่ต้องใช้เงิน คนกลุ่มนี้ก็จะลุกขึ้นมาต่อต้านทันที
ส่วนอีกประเภทคือพวกที่คิดว่าการให้ผู้หญิงรู้หนังสือนั้นไม่มีประโยชน์ หรือพูดตรง ๆ ก็คือกลัวว่าหลังจากที่ผู้หญิงรู้หนังสือแล้วจะมีความคิดมากขึ้นกว่าเดิมทำให้ควบคุมได้ยาก
การถกเถียงเรื่องสร้างโรงเรียนสตรีนี้ ทะเลาะทุ่มเถียงกันมาห้าวันเต็ม ๆ ทะเลาะกันจนแต่ละคนหมดเรี่ยวหมดแรง เมื่อไหร่ที่พูดถึงหัวข้อนี้ต่างก็เริ่มมีอาการพะอืดพะอมขึ้นมาแล้ว
ในเวลานี้เอง ฮ่องเต้ก็เสนอความคิดขึ้นว่า “ในเมื่อไม่อาจตัดสินข้อพิพาทได้ ทำไมเราไม่ดำเนินการเรื่องการจัดตั้งสมาพันธ์สตรีในแต่ละเมืองดูก่อนล่ะ? เรื่องนี้สามารถดำเนินการร่วมกับการปฏิรูปกฎหมาย เพื่อช่วยให้ผู้หญิงที่ถูกรังแกมีวิธีอุทธรณ์ร้องทุกข์ได้ คิดว่าเป็นอย่างไร?”
โสวฝู่ยังใช้โอกาสนี้อธิบายเรื่องการจัดตั้งสมาพันธ์สตรีด้วย ที่จริงก็คือให้แต่ละอำเภอในเมืองต่าง ๆ จัดตั้งหน่วยงานแบบอิสระขึ้นมาหน่วยหนึ่ง มีหน้าที่จัดการกับปัญหาของผู้หญิงโดยเฉพาะ
เรื่องนี้เมื่อเทียบกับการเปิดโรงเรียนสตรีแล้ว นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนอกจากนี้แต่ละเมืองยังใช้เงินของตัวเองจ้างคนมาทำด้วย ไม่ได้ใช้เงินของราชสำนักเลยแม้แต่แดงเดียว ผ่านเลย! ให้ผ่าน! ผ่านแบบเป็นเอกฉันท์!
หยู่เหวินเห้าจึงสั่งให้ราชบัณฑิตร่างพระราชโองการออกมา จากนั้นจึงประกาศใช้ทันที
เรื่องนี้จบลงด้วยดี เท่านี้ก็สามารถกลับไปรายงานผลงานกับเจ้าหยวนได้แล้ว
หยวนชิงหลิงพอใจมาก ขั้นตอนนี้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น สาเหตุหลักมาจากการทะเลาะกันเรื่องการเปิดโรงเรียนสตรีในช่วงห้าวันที่ผ่านมา ทุกคนต่างโต้เถียงกันจนคอแหบคอแห้งแล้ว ไม่อยากจะเถียงกันอะไรกันอีก แค่อยากจะเป็นขุนนางตามหน้าที่ไปเงียบ ๆ ก็พอ
“ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปทีละก้าวเถอะ ไม่ต้องรีบร้อนเกินไป” หยู่เหวินเห้าคิดจะควบคุมจังหวะการย่างก้าวให้มั่นคง เพราะถ้าหากช่วงเริ่มต้นก้าวใหญ่จนเกินไป ย่อมล้มเหลวได้ง่าย
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ภายในสิบปี เราจะทำเรื่องเหล่านี้ให้สำเร็จเสร็จสิ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดำเนินการไปทีละขั้นตอน แต่ก็ยังต้องดำเนินการเรื่องโรงเรียนนำร่อง ในสถานที่ที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองสักแห่งหนึ่งด้วย”
แผนแรกที่กำหนดไว้คือแผนการสิบปี ตอนนี้โรงเรียนแพทย์ได้เปิดเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีจำนวนผู้หญิงค่อนข้างน้อย สาเหตุหลักมาจากโรงเรียนแพทย์มีข้อกำหนดในการที่ผู้เข้าเรียนต้องรู้หนังสือ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเหมือนโรงเรียนที่เริ่มตั้งแต่ระดับต้นนั้นอีก ทั้งยังรับคนที่ไม่รู้หนังสือมาหลายคน แล้วสอนตั้งแต่เริ่มต้นใหม่หมด
ประเทศนี้ นับวันก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นไปเรื่อย ๆ
คดีขืนใจหญิงสาวที่พ่อลูกฉินฮวนก่อถูกย้ายไปยังเบื้องพระพักตร์ฮองเฮา ทั้งยังเกือบจะถูกพระชายารัชทายาทในอนาคตลากตัวกลับไป ฉินฮวนถึงขั้นเตรียมใจพร้อมหัวหลุดจากบ่าเรียบร้อยแล้ว
เวลาต่อมาฉินฮวนได้รู้ว่า ลูกชายตัวเองยังกล้าทำตัวยิ่งใหญ่อหังการต่อหน้ารัชทายาทอีก ก็ตกใจจนหัวใจแทบจะแตกแหลกเหลวให้ได้ เดิมทีแค่เรื่องเดียวเสียแค่หัวเขาหนึ่งหัวก็ยังพอจะแก้ปัญหาได้ แต่สุดท้ายกลับสร้างเรื่องใหญ่โต จนเดือดร้อนไปถึงโคตรเหง้าอีกเก้าชั่วโคตรที่ฝังอยู่ในดินไปด้วยแล้ว นั่นช่างเป็นตัวอัปยศของตระกูลเหลือเกินแล้วจริง ๆ
แต่หลังจากการไต่สวน สุดท้ายสองพ่อลูกก็ถูกตัดสินเนรเทศไปทำงานหนักที่เจียงเป่ยเป็นเวลายี่สิบปี ซึ่งสำหรับสองคนพ่อลูกนั้น ถือได้ว่าเป็นข่าวดีมาก ๆแล้ว
ทางฝั่งโสวฝู่ ก็เริ่มทำนิตยสารรายสัปดาห์ซึ่งจะตีพิมพ์ทุก ๆ เจ็ดวัน แบบนี้จะช่วยให้พวกเขามีเวลามากพอในการรวบรวมวัสดุ และข้อมูลที่จำเป็นมาได้ครบถ้วน
เรื่องที่ฮองเฮาทรงมีพระประสงค์จะเปิดโรงเรียนสตรี ก็ถูกตีพิมพ์ออกไปในนิตยสารรายสัปดาห์ฉบับแรกนี้ด้วย นิตยสารรายสัปดาห์มีไว้สำหรับคนที่รู้หนังสือ แต่คำพูดแบบปากเปล่าของกลุ่มมดงานจากจวนอ๋องซู่ก็มีประสิทธิภาพไม่น้อยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นบนท้องถนน ตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ในเมืองหลวง โรงน้ำชาเหลาสุราโรงเตี๊ยม พวกเขาล้วนยุ่งอยู่กับแพร่กระจายข่าวอย่างเป็นมืออาชีพ เมืองหลวงแห่งนี้แต่เดิมก็เป็นมหานครที่มีประชากรหนาแน่น มีพ่อค้าวาณิชและขุนนางท้องถิ่นจำนวนมากเข้าออกทุกวัน ดังนั้น ข่าวเหล่านี้จึงแพร่สะพัดไปทั่วทุกซอกมุมของเป่ยถังอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วอึดใจ เป่ยถังทั้งบนล่างต่างหารือกัน ในเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนสตรีที่ฮองเฮาทรงเสนอ
เมื่อไหร่ที่มีเรื่องซึ่งสามารถทำให้คนทั้งแคว้นนำมาถกกันได้ นั่นแปลว่าเรื่องนั้นต้องสำคัญจนควรค่าให้นำไปคิดพิจารณา
แน่นอนว่าย่อมมีเสียงคัดค้าน แต่เพราะตอนนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ ดังนั้นคำคัดค้านจึงเป็นได้แค่คำพูดลอยลมที่ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น
การแสดงความคิดเห็นของประชาชน นับได้ว่าเป็นการช่วยผลักดันการทำงานในสมาพันธ์สตรี เพราะว่าสมาพันธ์สตรีนั้นอยู่ภายใต้คำสั่งที่เข้มงวด กรมข้าราชการพลเรือนจำเป็นต้องตรวจสอบ ดังนั้น แต่ละเมืองย่อยจึงมีการจัดตั้งสำนักงานของสมาพันธ์สตรีขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักงานสมาพันธ์สตรีในตำบลต่าง ๆ จะรับคำสั่งดำเนินแผนงานจากสำนักงานสมาพันธ์สตรีระดับเมือง ส่วนสำนักงานระดับเมือง จะอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมการปกครองแห่งสมาพันธ์สตรีประจำเมืองหลวงอีกทอดหนึ่ง เขตอำนาจจะปกครองกันเป็นระดับลดหลั่นลงไปเช่นนี้ สร้างเป็นต้นแบบออกมาให้ผู้คนเห็นเป็นรูปธรรม
ในระหว่างที่กำลังบ่มเพาะเรื่องของการสร้างโรงเรียน สมาพันธ์สตรีโครงการแรกก็เริ่มต้นขึ้น ยังต้องมีการเดินทางไปหว่านล้อม หรือจัดประชุมในหัวข้อผลดีของการกระจายไข่ เพื่อบอกผู้คนให้รู้ถึงประโยชน์ของการจัดตั้งโรงเรียนสตรี
งานนี้เป็นอะไรที่เหนื่อยยากลำบากสุดแสน แต่อย่างไรก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีวันทำได้สำเร็จไปตลอดกาล