บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1994 ท่านชายสี่ลบหลู่เบื้องสูง
บทที่ 1994 ท่านชายสี่ลบหลู่เบื้องสูง
สองวันต่อมา สามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันมาพร้อมกับหมาป่าหิมะกับหมาที่มีหูแหลมตัวหนึ่ง แวะมาเยี่ยมเยียนเสือขนทอง พวกเขากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว เพื่อไปค้นหาวิญญาณของเสือขนทองที่กระจัดกระจายออกไป
ตอนนี้เจ้าเสือขนทองถูกจัดให้พักที่ตำหนักข้างตำหนักฮุ่ยหนิง เวลานี้ตำหนักฮุ่ยหนิงเปลี่ยนชื่อมาเป็นตำหนักเสือขนทอง หลังจากที่หมาป่าหิมะกับหมาหูแหลมเข้าไป ก็นอนหมอบนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้าง ๆ เสือขนทอง ดูแววตาแล้วเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่ในความโศกเศร้ายังมีความมั่นคงหนักแน่น พวกมันต้องตามหาสิ่งที่กระจัดกระจายไปของเพื่อนเก่ากลับมาให้จงได้
กรงเล็บของหมาป่าหิมะตะปบเบา ๆ ที่แผ่นหลังของเสือขนทอง ส่งเสียงครางเครือในลำคอครู่หนึ่ง น้ำตาก็ไหลออกมา เช่นเดียวกับเจ้าหมาหูแหลม
รอจนการกล่าวลาสิ้นสุดลง อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาก็ไปบอกลาหยู่เหวินเห้าสามีภรรยา เอ่ยย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต้องป้อนยาเม็ดสมุนไพรเดือนละครั้ง และทุกๆ วันที่สิบห้าในแต่ละเดือน ต้องย้ายมันออกไปนอนอาบแดดอย่าได้ขาด
สุดท้าย แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน ทั้งคู่ก็พาหมาป่าหิมะหนึ่งกับหมาอีกหนึ่งจากไป แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องลงบนแผ่นหลังของพวกเขา ทั้งหมดเดินไปได้สามก้าว ก็หันหลังกลับมามองหนึ่งครั้ง นับตั้งแต่ได้รู้จักกันมาพวกเขาไม่เคยห่างกันเลย ทนผ่านความยากจนมาด้วยกัน กินเนื้อย่างด้วยกัน สู้ศึกในสนามรบเคียงข้างกัน เดินทางเหยียบย่างไปทั่วหล้าด้วยกัน เส้นทางมากมายไม่ว่าใกล้ไกล แต่ตอนนี้กลับต้องทิ้งมันไว้ที่นี่แล้ว
หยวนชิงหลิงเห็นแบบนั้น ในใจก็รู้สึกทรมานมาก แอบเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ หวังเหลือเกินว่าเสือขนทองจะอาการดีขึ้นในเร็ววัน จากนั้นก็ออกเดินทางไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวด้วยกันกับพวกเขาต่อ
หลังจากที่พวกเขาจากไป คนจากจวนอ๋องซู่ก็เข้าวังมา กลุ่มชายชราชุดดำทั้งหมดมากันครบ พวกเขาตั้งใจว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนเสือขนทอง ต่างหุบปากเงียบสนิทไม่ส่งเสียง
อู๋ซ่างหวงอยู่เป็นเพื่อนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงออกไปคุยกับพวกหยวนชิงหลิง
อู๋ซ่างหวงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “เสือขนทองจะตื่นขึ้นมาได้ เพียงแต่ทุกคนคิดว่า บางทีในชีวิตนี้ของพวกเรา อาจรอไม่ได้จนถึงวันนั้น”
ประโยคนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงถูกทำลายเกราะป้องกันทางจิตใจลงทันที
ถูกต้อง พวกเขารู้ว่าตัวเองแก่แล้ว อาจมีหลายคนที่สามารถรอจนถึงวันที่เจ้าเสือขนทองตื่นขึ้นมา แต่สำหรับพวกเขาแล้ว แน่ใจไม่ได้ว่าจะทำได้หรือไม่
บนโลกใบนี้มีคนมากมายตั้งเท่าไร มากมายเกินกว่าจะนับได้ แต่พวกเขาล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเจ้าเสือ อาจไม่สนใจว่าเจ้าเสือจะตื่นขึ้นมาหรือไม่
พวกเขาสนใจ แต่มันไม่แน่ว่าพวกเขาจะรอจนถึงวันนั้นได้
หยวนชิงหลิงเดินจากไป ทนดูฉากนี้ต่อไปไม่ไหว
หยู่เหวินเห้ายืนอยู่ข้างนอก มองดูทั้งคนและสัตว์ในห้องโถงอย่างเงียบ ๆ นอกจากกลุ่มชายชราชุดดำ โค้กกับเซเว่นอัพรวมถึงเจ้าเสือต่างก็มากันหมด เดินวนเวียนอยู่ข้างกายเสือขนทอง
หยู่เหวินเห้าไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเสือขนทองกับเจ้าเสือของแฝดสองบางทีอาจเป็นพ่อลูก บางทีอาจเป็นรุ่นหลาน หรือบางทีอาจไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันเลย แต่ฉากที่เห็นนี้กลับทำให้ใจคนที่ได้เห็นเจ็บปวดอยู่เสมอ
หยวนชิงหลิงรู้ว่า ความสามารถในการรักษาเสือขนทองของตัวเองมีขีดจำกัด อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาพาเสือขนทองมาไว้ในวัง เป็นเพราะพวกเขากลัวว่าทุกครั้งที่คนในจวนอ๋องซู่ได้เห็นเสือที่ไหม้ดำเป็นตอตะโกจะรู้สึกเศร้าใจ ตอนนี้พามาไว้ในวัง แล้วพวกเขาค่อยแวะมาดูเป็นครั้งคราว จากนั้นค่อยไปบอกว่าเจ้าเสือขนทองค่อย ๆ ดีขึ้นแล้ว พวกเขาก็จะสามารถทำงานของตัวเองต่อไปได้อย่างสบายใจ
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 1994 ท่านชายสี่ลบหลู่เบื้องสูง –
หยวนชิงหลิงรู้ว่าระบบในร่างกายของเสือขนทองยังคงทำงานปกติ มีการเผาผลาญ ดังนั้นจึงช่วยโกนขนที่ไหม้เกรียมของมันออก ผ่านไประยะหนึ่งขนที่ขึ้นใหม่ก็จะกลับมาเป็นสีปกติ
เพื่อส่งเสริมระบบเผาผลาญ หยวนชิงหลิงยังป้อนยาบำรุงที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้มันด้วย
ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุ้นชินกับการมาเยี่ยมเสือขนทองทุกวัน รัชทายาทกับองค์ชายรอง รวมถึงเจ๋อหลาน ก็จะนำสัตว์เลี้ยงของพวกเขามาเล่นกับเสือขนทองบ่อย ๆ ด้วย
อะซี่มีฝีมือด้านเย็บปัก จึงทำเสื้อคลุมขนาดใหญ่ให้เจ้าเสือที่ถูกโกนขนไปชุดหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่ทุกคนเข้ามาเยี่ยมดูเจ้าเสือ พวกเขาจะได้ไม่เห็นแค่เจ้าเสือที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมปิดทั้งตัวอีก
บางครั้งหยู่เหวินเห้าก็รู้สึกทรมานใจมาก เขารู้เรื่องราวที่ผ่านมาของเสือขนทอง รู้ถึงวันเวลาที่ยากลำบากที่สุดของจวนอ๋องซู่ วันเวลาเหล่านั้นมีเสือขนทองร่วมเผชิญผ่านมาด้วยตลอด หนักสุดเคยถึงขั้นที่มีช่วงหนึ่งจวนอ๋องซู่ขาดเงินอย่างหนัก จนต้องปล่อยมันออกไปให้เช่าเลยทีเดียว
ในช่วงเวลาที่แสนขาดแคลนนั้นเอง ก็ได้ช่วยฮ่องเต้เซี่ยน จนได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพเซิ่งเฟย ต่อมาภายหลังก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพสัตว์เทพอันดับหนึ่ง หลังจากได้รับพระราชทานรางวัลมากมาย ถึงสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันแสนมืดมนของจวนอ๋องซู่ไปได้
แน่นอนว่านี่เป็นถ้อยคำสรรเสริญที่มีต่อจวนอ๋องซู่ เป็นกำลังสำคัญที่ทุ่มเทเพื่อเป่ยถังไม่น้อย ในการรบหลายต่อหลายครั้ง ล้วนมีเสือขนทองร่วมลงสนามกับแม่ทัพ เข่นฆ่าศัตรูคู่อริไปได้มากมาย
มันคู่ควรกับฉายาแม่ทัพสัตว์เทพอย่างไร้ข้อกังขา
ท่านชายสี่ก็มาเยี่ยมเสือขนทองด้วย เนื่องจากท่านชายสี่เป็นคนที่พระชายาชินเฟิงอันเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ แม้ว่าเสือขนทองจะแย่งเนื้อของเขาไปไม่น้อย แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่อยู่เคียงข้างเขามาแทบจะตลอดช่วงวัยเยาว์ก็ว่าได้
หยู่เหวินเห้าเคยบอกว่าท่านชายสี่ไม่เคยหลั่งน้ำตาเลย นอกจากเมื่อตอนที่เขาจำแม่ของตัวเองได้ แต่วันนั้นท่านชายสี่กอดเจ้าเสือขนทองที่นอนแน่นิ่งอยู่ในตำหนัก แล้วร้องไห้อย่างโศกเศร้า
หลังจากเยี่ยมเสือขนทองแล้วออกมา ท่านชายสี่กับหยู่เหวินเห้าก็นั่งลงดื่มเหล้ากันที่ระเบียง โสวฝู่กับสวีอีก็เข้ามานั่งกับพวกเขาด้วย
แสงอาทิตย์ยามอัสดง ค่อย ๆ สูญเสียความร้อนแรงลงไปทุกขณะ เงาสะท้อนบนใบหน้าของท่านชายสี่มืดสลัว เขาพูดว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าโกรธมันมากเพราะความที่เข้มงวดเกินไป ช่วงเวลาที่ท่านอาจารย์อยู่กับข้ามีไม่มากนัก แต่เมื่อไหร่ที่กลับมาก็มักจะส่งเจ้าเสือมาคอยจับตาดูข้าฝึกวรยุทธ์ ตอนนั้นเสือขนทองเหมือนกับพญายมก็ไม่ปาน ไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ยอมให้พัก ถ้าเริ่มหย่อนการฝึกก็จะพุ่งชนข้า ข้าเคยโดนมันพุ่งชนจนขาหักด้วย ตอนนั้นทุกวันในสมองคิดอยู่เรื่องเดียวเลยคือ เนื้อเสือย่างถ่านมันจะอร่อยหรือไม่นะ? ”
หยู่เหวินเห้าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเศร้าใจมาก พูดอุบอิบเบา ๆ ว่า “จริงด้วย ไม่รู้ว่าเนื้อเสือย่างถ่านจะอร่อยหรือไม่นะ?”
ท่านชายสี่ผุดลุกขึ้นทำท่าจะซัดเขาสักหมัด โสวฝู่กับสวีอีที่อยู่ข้าง ๆ คนหนึ่งลุกขึ้นรั้งตัวไว้ อีกคนพูดเกลี้ยกล่อม พูดจาส่งเดชแบบขอไปทีว่า “ช่างเถอะ ๆ เขาหิวแล้ว เขาหิวมากแล้วจริง ๆ ถึงเวลากินข้าวแล้วไม่ได้กิน สมองเลยขาดน้ำเท่านั้นเอง”