บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1995 สร้างวัดบุญชื่นชู
บทที่ 1995 สร้างวัดบุญชื่นชู
สวีอีรั้งตัวท่านชายสี่ไม่อยู่ โสวฝู่ก็เกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ท่านชายสี่กับหยู่เหวินเห้าจึงเริ่มสู้กันชุลมุน
เห็นแค่ทั้งสองแลกหมัดแลกเท้ากันไปมา เจ้าเตะมาข้าเตะกลับ คว้ากิ่งไม้มาใช้เป็นอาวุธ ปะทะกันว่องไวประดุจสายฟ้า
สวีอีกับโสวฝู่นั่งลงตรงใต้ระเบียง ดื่มเหล้าที่พวกเขาดื่มกันอยู่เมื่อครู่ พลางมองดูพวกเขาสู้กันด้วยแววตาที่เหมือนปลาตาย
พูดตามตรงคือมันดูน่าเบื่อมาก ไม่มีกระบวนท่าไหนให้พูดถึงได้เลย ไม่มีความวิจิตรตระการตาน่าชื่นชมซักนิด จะดีหน่อยก็แค่กิ่งไม้ที่กวัดแกว่งวูบไหวนั่นยังนับว่าดูดีใช้ได้
การต่อสู้ยกนี้ สู้กันไปเกือบ ๆ ครึ่งชั่วยาม จนหยวนชิงหลิงเข้าไปนวดแข้งนวดขาให้เสือขนทองเสร็จ เดินออกมาก็เห็นว่าพวกเขายังสู้กันอยู่ จึงตะโกนขึ้นว่า “ได้เวลากินข้าวแล้ว”
ทั้งสองแยกกัน เหินกายลงมา ยกมือขึ้นลูบ ๆ กด ๆ เส้นผมตัวเองอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเวลานี้มีสภาพกระเซอะกระเซิงไม่ต่างจากเล้าไก่ แต่พยายามกดเท่าไหร่ เส้นผมก็ไม่ยอมกลับไปสภาพเดิมเสียที ทั้งคู่จมูกเขียวช้ำใบหน้าบวมเป่งจะเห็นได้ว่าตอนที่พวกเขาตีกัน คงจะลงมือหนักจนเข้าเนื้อเข้าหนังเลยทีเดียว
หลังจากสู้กันไปยกหนึ่ง ท่านชายสี่ก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย จึงกอดคอกับหยู่เหวินเห้าพยุงกันเดินขาลากในสภาพโซซัดโซเซไปกินข้าว
ผู้ชายพวกนี้ปลูกฝังวิธีการเข้าหากันในรูปแบบนี้มานานแล้ว ถ้าใครรู้สึกไม่สบายใจ ก็จะมีใครคนหนึ่งออกหน้ามาท้าตีท้าต่อย หลังจากต่อยตีกันแล้ว ในใจก็จะรู้สึกดีขึ้นมาระดับหนึ่ง เพราะถึงอย่างไร สุดท้ายแล้วชีวิตก็ยังต้องเดินต่อ ไม่สามารถปล่อยให้เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสภาวะอารมณ์เชิงลบนานเกินไปได้
กินข้าวเสร็จ พวกเขาก็พูดคุยกันครู่หนึ่ง ก็ไปห้องทรงพระอักษรเพื่อทำงานล่วงเวลา
ช่วงนี้ทางเป่ยโม่เหมือนจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นมาเล็กน้อย มีรายงานด่วนมาจากจวนเจียงเป่ย ว่าพบกองกำลังทหารมารวมตัวกันที่แนวชายแดนเป่ยโม่
แต่เรื่องลักษณะนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็มีเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว เป่ยถังในตอนนี้ไม่ใช่ประเทศที่ยากจนข้นแค้นเหมือนเมื่อสองสามทศวรรษก่อนอีกแล้ว ตอนนี้มีทั้งกำลังเงินมีทั้งกำลังคน กองพลเข้มแข็งอาวุธยุทโธปกรณ์เพียบพร้อม ไม่ใช่ว่าคิดจะรังแกก็จะรังแกกันได้ง่าย ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่ยถังในช่วงหลายปีมานี้ ในขณะที่เน้นพัฒนาเศรษฐกิจ ก็ยังให้ความสำคัญต่อการป้องกันทางทหาร ความมั่นใจต่อความปลอดภัยในตนเองของผู้คนในเป่ยถังก็เพิ่มเป็นเท่าตัว
กลุ่มชายชราแห่งจวนอ๋องซู่มักพูดว่า เป่ยถังภายใต้คำพูดโอ้อวดของตาเฒ่าหวางลิ่วเยว่ คนฆ่าสัตว์ในตลาดตะวันตก ได้กลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว
กลุ่มองครักษ์เงาดำชราเล่าว่า ถึงแม้หวางลิ่วเยว่จะมีอาชีพเป็นคนฆ่าสัตว์ แต่ความรู้สึกรักใคร่บ้านเมืองของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกหอจัยซิงเลย ประเทศของนางค่อย ๆ ก้าวหน้าขึ้นไปทีละก้าว กำลังปรับปรุงเปลี่ยนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น นางมีความรู้สึกที่ดีรวมถึงคาดหวังกับเป่ยถัง ความคาดหวังและรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ ล้วนเป็นเช่นเดียวกับราษฎรในเป่ยถัง
นางหวังว่าราษฎรเป่ยถัง จะไม่ต้องถูกประเทศอื่นรังแกอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องถูกคนอื่นพ่นลมออกจมูกใส่ด้วยความรังเกียจ ยิ่งไม่ต้องถูกใครมาดักคอว่าทำนี่ไม่ได้ทำนั่นไม่ได้อีกต่อไป และวันเวลาที่ว่านี้ก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
นางมักจะพูดกับลูก ๆ หลานๆ อีกร้อยห้าสิบคนของนางว่า พวกเจ้าจะต้องรักใคร่สามัคคี จะต้องรักเป่ยถัง ต้องรักประเทศนี้ให้เหมือนกับที่ตัวเองรักเงินทอง มีเพียงความรู้สึกรักใคร่ที่ลึกซึ้งระดับนี้เท่านั้น ถึงจะคู่ควรกับการสรรเสริญรำลึกถึงที่ทหารกล้าที่เคยต่อสู้ในสนามรบ สละเลือดเนื้อสละชีวิตจนมีวันนี้ได้
นางบอกว่า เป่ยถังเราในตอนนี้ยังคงมีปัญหาอยู่ แต่มีประเทศไหนบ้างล่ะที่ไม่มีปัญหา? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจ้าห้าตระกูลหยู่เหวินของเราสามารถค้นพบปัญหา แล้วนำออกมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีได้ แต่อย่ามองแค่เพราะมีปัญหาบางอย่างก็พาลปฏิเสธเป่ยถังของเรา จะทำตัวเป็นจอมยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญด้านชา วัน ๆ เอาแต่จิบชาพ่นหลักการอยู่ในโรงน้ำชา ชี้ให้เห็นนั่นนี่ ด่าทอพร่ำบ่นก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ก่อนจะด่าทออะไรลองถามตัวเองดูก่อนว่า ตัวเจ้าเองทำอะไรให้เป่ยถังบ้าง?
กลุ่มองครักษ์เงาดำชรากับหวางลิ่วเยว่ปะทะฝีปากกันมาทั้งชีวิต มีหลายเรื่องที่หวางลิ่วเยว่มองแล้วขัดนัยน์ตา ซึ่งมีแค่มุมมองนี้เท่านั้น ที่บรรดาองครักษ์เงาดำชราเห็นด้วยและชื่นชม พวกเขาทำเรื่องนี้มาตลอดชีวิตแล้ว ตอนนี้แก่แล้วก็ยังไม่อยากหยุดทำ
เรื่องที่เสือขนทองล้มป่วยในวัยชราเป็นที่ทราบกันดีของผู้คนแล้ว มีผู้สูงอายุจำนวนมากซึ่งอยู่ในช่วงวัยเดียวกับหวางลิ่วเยว่ คนในรุ่นอายุเท่าพวกนางต่างก็รู้จักเสือขนทอง
เสือขนทองเป็นแม่ทัพสัตว์เทพผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนาน ยามที่อยู่ในสนามรบก็ขบกัดศัตรูมาไม่น้อย ได้ยินว่าสามารถกำจัดศัตรูคู่อริได้นับไม่ถ้วน ถ้าเจ้าเสือขนทองเป็นมนุษย์ ด้วยความดีความชอบของเขา เขาคงได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นชั้นเจ้าพระยาไปแล้ว
มีเศรษฐีบางคนออกหน้าขึ้นมาเป็นต้นคิด พูดว่าจะสร้างวัดบุญชื่นชูเพื่อส่งเป็นกุศลผลบุญไปให้เสือขนทอง อาศัยแรงสวดภาวนาจากควันธูปที่จุดในโลกมนุษย์ส่งขึ้นไปหาทวยเทพ ให้ช่วยอำนวยพรให้เจ้าเสือหายป่วยในเร็ววัน
ผู้คนในเป่ยถังตอนนี้ทำอะไรรวดเร็วฉับไว ทันทีที่บอกว่าจะทำก็คือทำเลย ความกระตือรือร้นสูงมากจนทะลุเพดาน
พ่อค้าผู้มั่งคั่งอันดับต้น ๆ จัดงานระดมทุนขึ้น แต่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็สามารถระดมทุนได้ตามเป้าเรียบร้อย ทั้งยังมีเงินส่วนเกินอีกต่างหาก เงินส่วนเกินนี้พ่อค้าผู้มั่งคั่งที่เป็นต้นคิดเรื่องการระดมทุน เสนอให้บริจาคไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กที่ก่อตั้งโดยพระชายาอาน กับจวิ้นจู่จิ้งเหอแทน
ผู้คนต่างคิดว่า ควันธูปคงส่งตรงไปยังสวรรค์ เทพเซียนจะต้องทรงอำนวยพรให้เสือขนทองหายป่วยขึ้นมาได้ในเร็ว ๆ นี้แน่
อันที่จริง เสือขนทองเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้นบ้างแล้ว มันมีการเคลื่อนไหว แต่ยังไม่ตื่นขึ้นมา ยึดตามคำพูดของอ๋องชินเฟิงอันคือ เสือขนทองยังคงขาดอะไรบางอย่างอยู่
พวกอู๋ซ่างหวงถามเจ้าหยวนว่า สรุปแล้วเจ้าเสือขนทองจะฟื้นขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้นนี้ได้หรือไม่
เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เวลาสั้น ๆ ที่ข้าพูดถึง คือก่อนที่ข้าจะตาย เจ้าคิดว่าข้าจะตายเมื่อไหร่รึ?”
หยวนชิงหลิงกลอกตามองบนใส่เขา “พูดเหลวไหลอะไรเจ้าคะ? ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยปีเลย”
อู๋ซ่างหวงมีท่าทางดูซึมเซาขึ้นมาทันที “แค่ร้อยปีเองรึ? นั่นก็แปลว่าอีกไม่นานเท่าไหร่แล้วน่ะสิ”
ตอนนี้เขาอายุแปดสิบกว่าเข้าไปแล้ว
หยวนชิงหลิงพูดว่า “จากมุมมองในตอนนี้ สถานการณ์ของเสือขนทองมีความคืบหน้า ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้ แต่มันอาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อนไปชั่วระยะหนึ่ง”
“จะตื่นขึ้นมาได้จริง ๆ น่ะรึ?” อู๋ซ่างหวงมีท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ได้ พวกเราแค่ต้องรอกันหน่อย” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม นึกอิจฉามิตรภาพที่สร้างมาร่วมกันของพวกเขาจริง ๆ หวังว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป