บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1996 เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าเสือขนทองจะผายลม
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1996 เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าเสือขนทองจะผายลม
บทที่ 1996 เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าเสือขนทองจะผายลม
วัดบุญชื่นชูสร้างเสร็จภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน มีเงินก็ย่อมมีคนจัดการธุระให้ด้วยระดับความเร็วที่รวดเร็วน่าเหลือเชื่อ สิ่งสำคัญที่สุดคือคนในจวนอ๋องซู่รู้ว่าพวกเขาจะหาเงินได้ไม่พอ ยังเป็นการสร้างวัดบุญชื่นชูเพื่อเป็นกุศลบุญให้เจ้าเสือด้วย จึงรีบยกโขยงกันไปเสนอราคาหน้าสลอน
ในวัดบุญชื่นชูมีรูปปั้นองค์พยัคฆ์สีทองเป็นตัวแทนของเสือขนทอง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ ชาวจวนอ๋องซู่คิดว่าถ้าทำจากทองคำบริสุทธิ์ จะเป็นการใช้เงินที่สิ้นเปลืองจนเกินไป ไม่สอดคล้องกับลักษณะนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ของเจ้าเสือขนทอง
พวกเขาปิดทองทั้งตัวขององค์รูปปั้นพยัคฆ์ ฝีมือด้านงานทองเหลืองของพวกเขาสมบูรณ์แบบมาก ดูอย่างไรก็เหมือนทองจริง….. อย่างน้อยมันก็ดูเหมือนมากถ้ามองจากระยะไกล ๆ
ติดแค่ว่าพอทำเสร็จแล้ว พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันถอนหายใจเฮือก ๆ อย่างนึกเสียดาย รู้สึกผิดต่อเสือขนทองยิ่งนัก ปิดทองคำเปลวแล้วอย่างไรล่ะ? เสือขนทองคู่ควรกับทองแท้ที่สุดแล้ว
ตอนทำก็พยายามประหยัดเงินแทบแย่ แต่พอทำเสร็จก็เริ่มเสียใจที่ตัวเองใช้วัสดุราคาถูกมาทำ แต่เพราะพวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการพัวพันอยู่กับสิ่งของราคาถูกแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกโศกเศร้าและความละอายใจจึงอยู่ได้เพียงครู่สั้น ๆ จากนั้นก็จัดกลุ่มกันไปเยี่ยมดูเจ้าเสือต่อ
พวกเขาคิดว่าบางทีพวกเขาน่าจะพาเสือขนทองไปที่วัดบุญชื่นชูได้ ใช้รถเข็นบรรทุกมันแล้วเข็นไปคงไม่เปลืองเรี่ยวแรงอะไรนัก
พอพูดว่าจะทำก็ทำเลย ทุกคนพากันเข็นรถเข็นเข้าวังทันที ส่งเสือขนทองออกไป
แต่เมื่อพวกเขาไปถึงบนถนน กลับพบว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย บนท้องถนนสองฟากล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนต่างเบียดเสียดยื้อแย่งกันชะโงกหัวขึ้นมาด้านหน้า เพราะอยากเห็นเจ้าเสือขนทองด้วยตาตัวเองสักครั้ง
ยากที่จะไปต่อได้แม้เพียงครึ่งนิ้ว
เรื่องนี้ถูกยกขึ้นไปพูดกันในราชสำนัก ในฐานะสื่อการสอนอันดีควรค่าแก่การยึดถือ โสวฝู่แจกแจงแถลงไขถึงความรู้สึกนึกรักบ้านเกิดเมืองนอน รักใคร่ใต้หล้าให้ทุกคนฟังไปรอบหนึ่ง พูดจนทุกคนเลือดรักชาติเดือดพล่าน กระทั่งมีคนแอบร้องไห้เงียบ ๆ เลยทีเดียว
ในวันที่สิบห้า หยวนชิงหลิงก็รีบป้อนยาเม็ดสมุนไพรนั้นแต่เนิ่น ๆ
หลังจากหยู่เหวินเห้ากินมื้อค่ำเสร็จ เขากับสวีอีสองคนก็ช่วยกันยกเสือขนทองไปที่หอเหวินชางที่อยู่กลางวัง
เจ้าเสือหนักมาก แต่ยังดีที่พวกเขาทั้งสองมีวรยุทธ์สูง มีกำลังภายในลึกล้ำ สามารถยกเจ้าเสือขึ้นไปที่ชั้นห้าได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลย
ไกลออกไปหลายหมื่นลี้ไม่มีเมฆหมอก ดวงจันทร์ลอยเด่นประดุจจานหยก ลำแสงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วแดนดิน หยู่เหวินเห้ากับสวีอีนั่งดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์ นี่เป็นช่วงเวลาผ่อนคลายที่หาได้ยากยิ่ง
เจ้าเสือพักอยู่ในวังมาได้เดือนครึ่งแล้ว ช่วงหลายวันที่มีพระจันทร์เต็มดวง พวกเขาจะยกเจ้าเสือขึ้นมาที่นี่ตลอด
หยู่เหวินเห้าพูดกับสวีอีว่า “เสือขนทองอยู่ที่นี่ ข้ากลับรู้สึกว่าปลอดภัยมาก สวีอี เจ้ามีความรู้สึกแบบนี้หรือไม่?”
สวีอีดื่มเหล้าอีกจอก เอนหลังนอนลงไปข้าง ๆ เสือขนทอง “ฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่ กระหม่อมจะรู้สึกถึงความปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนเขาอันยิ่งใหญ่ในใจของสวีอี มีเพียงฝ่าบาทมาโดยตลอด
หยู่เหวินเห้าก็เอนหลังนอนลง ยื่นแขนไปกอดเจ้าเสือ ตัวของเจ้าเสือใหญ่โตราวภูเขาลูกย่อม ๆ เขายิ้มพลางพูดว่า “ข้ากอดเจ้าเสือ จากนี้พอกลับไปแล้วกอดเจ้าหยวน คงจะรู้สึกว่าเจ้าหยวนตัวเล็กกระจิดริดไปเลยล่ะ”
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? เช่นนั้นข้าจะกอดเจ้าเสือบ้าง รอให้กลับไปถึงบ้านจะนอนค่อยกอดอะซี่ อะซี่จะได้ตัวเล็กกระจิดริดบ้าง ช่วงนี้อะซี่อ้วนขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ” สวีอีก็หันไปกอดเจ้าเสือด้วย สองคนนายบ่าว มีเสือตัวเท่าภูเขาลูกย่อมคั่นกลาง
“อะซี่อ้วนขึ้นแล้วรึ ? ดูไปแล้วก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ”
“อ้วนขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใบหน้าก็กลมขึ้นด้วย แต่ข้าก็ยิ่งชอบ” สวีอียิ้มแป้น เผยให้เห็นฟันขาววิ้ง ๆ เป็นประกายเจิดจ้า
“อื้ม ข้าก็ชอบเจ้าหยวน ยิ่งนับวันก็ยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ…. หรือจะบอกว่ายิ่งนับวันยิ่งรักดีล่ะ คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางชีวิตข้าจะเป็นอย่างไร”
สวีอีกระชับมือที่กอดเจ้าเสือแน่นขึ้น “กระหม่อมก็คิดไม่ออกว่าหากไม่มีอะซี่ จะผ่านวันเวลาเหล่านั้นไปได้อย่างไร”
หยู่เหวินเห้าออกแรงขยับร่างของเจ้าเสือเข้าไปเล็กน้อย แล้วกอดกระชับแน่นขึ้น “อันที่จริง ถ้าไม่มีอะซี่ ก็คงไม่มีใครต้องตาเจ้าแล้วล่ะ”
“กระหม่อมก็ไม่ต้องการให้คนอื่นต้องตา มีแค่อะซี่ที่ต้องตาคนเดียวก็พอแล้ว หากไม่มีอะซี่ กระหม่อมก็ไม่ต้องการใครทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้านี่นะ นับว่ามีจิตใจ รู้จักรักรู้จักคุณธรรมไม่เลว แต่ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เจ้าหยวน คนอื่นรอบกายก็คงไม่มีความหมายอะไร”
ราชากับขุนนางพูดคุยกันถึงสิ่งที่พวกเขารักใคร่ในโลกใบนี้ ไม่มีเวลาไปสนใจความรู้สึกของเจ้าเสือที่นอนคั่นอยู่ตรงกลาง หัวข้อสนทนาพรรค์นี้มันไม่ได้อยากฟังเสียหน่อย แม้ว่ามันจะหลับอยู่ แต่หูก็ยังได้ยินนะ! เข้าใจหรือไม่?
เรื่องผู้หญิงบ้างล่ะ เรื่องความรักบ้างล่ะ จะไปมีความสัมพันธ์อะไรที่แน่นแฟ้นจริงใจไปกว่ามันกับบรรดาพี่น้องหมาป่าหิมะได้อีกล่ะ?
เสียงกระซิบกระซาบงึมงำ ยังคุยกันไม่ยอมเลิก เจ้าเสือสุดจะทนไหวอีกต่อไปเค้นพละกำลังเท่าที่มี ลืมตาอันงามสง่าน่าเกรงขามขึ้นหมายจะขู่ขวัญเต็มที่
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงสิ่งที่มันคิดไปเองเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง มันแค่ยกเปลือกตาขึ้นอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
สวีอีหันหน้าเข้าหาดวงตาของมันพอดี คืนนี้สวีอีดื่มมากไปหน่อย เมาจนสมองเบลอ ยิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วพูดว่า “กระหม่อมตาลายแล้ว ถึงได้เห็นเสือขนทองลืมตา”
หยู่เหวินเห้าส่งเสียงอือในลำคอขึ้นมาเสียงหนึ่ง “มันเป็นไปได้แน่ ไม่ช้าก็เร็วนี่ล่ะ ฮองเฮาบอกว่าอาจใช้เวลาไม่นาน เสือขนทองก็จะตื่นขึ้นมาได้…..สวีอีเจ้าตัวดี ใต้แสงจันทร์ที่งามผุดผาดเช่นนี้เจ้าผายลมรึ?”
สวีอียกหัวขึ้น จ้องเข้าไปในดวงตาของเสือขนทอง กลั้นหายใจครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างลังเลว่า “มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเสือขนทองจะผายลม? เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ ดวงตาของมันก็ลืมอยู่จริง ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าผุดลุกขึ้นประดุจปลาคาร์พกระโจนขึ้นจากน้ำ กระโดดข้ามไปด้านเดียวกับสวีอีเพื่อไปดูดวงตาของเสือขนทอง เห็นดวงตาอันงามสง่าน่าเกรงขามของเจ้าเสือกระพริบอยู่จริง ๆ
“เจ้าหยวน! เจ้าหยวน รีบมานี่เร็วเข้า!” ทันใดนั้นบนหอเหวินชาง ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องตะโกนกึกก้องของฮ่องเต้แห่งเป่ยถัง