บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1997 มีคนเริ่มต่อต้านฮองเฮาแล้ว
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1997 มีคนเริ่มต่อต้านฮองเฮาแล้ว
บทที่ 1997 มีคนเริ่มต่อต้านฮองเฮาแล้ว
ตำหนักเสือขนทองเต็มไปด้วยผู้คนจนแน่นขนัด ทุกคนแห่แหนกันมาดูดวงตาสองข้างที่เริ่มขยับกลอกกลิ้งได้แล้วของเจ้าเสือราวกับสมบัติหายาก
แต่นอกจากลืมตาแล้ว เสือขนทองก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอื่น แต่ทุกคนต่างก็แย่งกันพูดคุยถึงข่าวข่าวหนึ่ง ตามที่ฮ่องเต้กับสวีอีเล่ามา นั่นคือเสือขนทองผายลมบนหอเหวินชาง
องครักษ์เงาดำชราพูดว่าผายลมได้นับเป็นเรื่องดี นั่นพิสูจน์ได้ว่าการทำงานของระบบทางเดินอาหารฟื้นตัวแล้ว สามารถกินอะไรเข้าไปได้บ้างแล้ว
ทุกคนกับเจ้าเสือเว้นระยะห่างออกจากกันช่วงระยะหนึ่ง เพราะฮองเฮากำลังตรวจอาการให้เจ้าเสือ อันที่จริงนางตรวจดูอาการให้มันนานแล้ว มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปทั่วตัว ตั้งแต่หัวเสือไปจนถึงก้นเสือ ยังไม่รู้ผลการการวินิจฉัย
เห็นชัด ๆ เลยว่าทักษะทางการแพทย์ของฮองเฮานั้นก็แค่ธรรมดา ๆ เอง จากนี้ถ้าเรียกเจ้าไปฉีดยาอีกก็ไม่ต้องฟังนางแล้วก็ได้
ในที่สุด ฮองเฮาก็ลุกขึ้นพูดกับทุกคน ทั้งหมดต่างเงียบลงทันใด
“ตื่นแล้วล่ะ แต่ก็ยังอ่อนแออยู่มาก ไม่มีพลังเทพ….พลังภายใน ต่อให้ดีขึ้นแล้ว มันก็จะเหมือนเสือธรรมดา ๆ เป็นการชั่วคราว จะไม่มีความสามารถพิเศษเหมือนเมื่อก่อนที่มันเคย….. ”
หยวนชิงหลิงยังพูดไม่ทันจบ พวกชายชราชุดดำจอมปากเปราะก็เริ่มพูดกันเจื้อยแจ้วแล้ว
“ใครจะไปอยากให้มันมีความสามารถพิเศษกัน ตอนนี้ประเทศสงบสุขร่มเย็น เป็นเวลาใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลาย จะอยากได้ความสามารถพิเศษมาทำอะไรรึ?”
“ใช่แล้ว ความสามารถเยอะก็กินเยอะ แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอแล้ว”
“หลังจากนี้ ค่อยหาเสือสาววัยละอ่อนที่งามดั่งดอกไม้แรกแย้มให้มันสักสองตัว ไปอยู่เป็นเพื่อนเดินเล่นกินเนื้อให้สบายใจ ชีวิตเสือตัวนี้จะได้มีความสุขเสียที”
“ตอนที่พวกเจ้าเข้ามาไม่ได้พาหมาป่าหิมะกับเจ้าหูแหลมมาด้วยรึ? พี่ใหญ่ของพวกมันตื่นขึ้นมาทั้งที ทำไมไม่เห็นพวกมันเข้ามาร้องห่มร้องไห้เลยล่ะ?”
“ข้าลืมน่ะสิ พอได้ยินข่าวว่าเจ้าเสือลืมตาแล้ว ก็รีบแจ้นเข้าวังมาเลยนี่ล่ะ ใครจะไปจำได้ว่าต้องพาพวกมันมาด้วย? พูดตามจริง พวกมันไม่มีหูหรืออย่างไรล่ะ? ข่าวแพร่กระจายใหญ่โตไปทั่วจวนอ๋องซู่ขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ”
“ก็นั่นน่ะสิ เจ้าเสือตื่นขึ้นมานับเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คืนนี้พวกเราต้องดื่มฉลองกันสักหน่อยแล้วล่ะ แค่จอกเล็ก ๆ ก็ได้ เป็นการฉลองให้เรื่องน่ายินดี” เซียวเหยากงพูดเสริม
จวนอ๋องซู่ตอนนี้ถูกจำกัดทุกอย่างไว้แบบเข้มงวดมาก หากพูดว่านิดหน่อย นั่นแปลว่าต้องนิดหน่อยจริง ๆ จะมากเกินไปไม่ได้เด็ดขาด
หยวนชิงหลิงยังคิดจะบอกทุกคนเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะของเสือขนทองทั้งยังวางแผนว่าแม้เรื่องจะยาวแต่จะพูดให้สั้น ๆ แต่เพิ่งจะพูดออกมา อู๋ซ่างหวงก็ถามขึ้นว่า “ตอนนี้นับว่ามันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว ถูกหรือไม่?”
“มีชีวิตอยู่ได้ตลอด”
“เช่นนั้นแปลว่ามันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ถูกหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “เจ้าค่ะ จะค่อย ๆ ดีขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันเป็นแบบนี้ ระบบในร่างกายของมัน…..”
อู๋ซ่างหวงตัดบทคำพูดของนางทันที “เช่นนั้นก็ดี ไม่มีอะไรที่สงสัยแล้ว ต่อให้เจ้าพูดอะไรมากไปกว่านี้พวกเราก็ไม่เข้าใจหรอก อย่างไรเสียตอนนี้มันก็มีชีวิตอยู่ แล้วก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เจ้ารีบไปให้พ้น อย่ามาเกะกะ พวกเราจะคุยกับเจ้าเสือ”
ไม่รู้ว่าใครถึงกับคว้าแขนหยวนชิงหลิงลากออกไป นางถูกเบียดไปอยู่อีกด้านอย่างรวดเร็ว รอบตัวเจ้าเสือขนทอง ถูกกลุ่มชายชราชุดดำเข้ายึดครองจนเต็มพื้นที่
หยวนชิงหลิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเลยทีเดียว นี่ถือว่าข้ามแม่น้ำเสร็จก็ทุบสะพานทิ้งแบบหน้าด้าน ๆ เลยสินะ? ก่อนหน้านี้ยังมาคอยประจบประแจงนางด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ แวะเวียนมาคอยถามไถ่อาการของเสือขนทองไม่ได้ขาด
หมาป่าหิมะกับเจ้าหูแหลมก็เข้าวังมาช่วงดึก ๆ ด้วย หลังจากรวมตัวกันครู่หนึ่ง พวกเขาทั้งหมดก็ทิ้งเสือขนทองไว้ที่วัง แล้วกลับไปที่จวนอ๋องซู่เพื่อดื่มเหล้าฉลอง
อาการของเสือขนทองเริ่มดีขึ้นทุกวัน มาวันนี้มันขยับตัวได้บ้างเล็กน้อย ทำให้หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าดีใจกันแทบแย่เลยทีเดียว
หยวนชิงหลิงพูดว่าผ่านไปอีกระยะหนึ่ง เสือขนทองก็จะสามารถลุกขึ้นเดินได้ แต่จะกลายเป็นเสือธรรมดา ๆ ที่คนทั่วไปเคยเห็น การกินการดื่มอะไรก็จะไม่มีปัญหา
ทุกคนต่างตั้งตารอคอยให้ถึงวันนั้น
ในราชสำนัก กลับมีพวกปัญญาชนกลุ่มหนึ่งเริ่มส่งเสียงเอะอะสร้างปัญหาขึ้นแล้ว
เป็นเพราะเรื่องของโรงเรียนสตรีแห่งแรก
พวกปัญญาชนกลุ่มนี้รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ก่อน หลังจากปรึกษาหารือกันมาหลายวัน พวกเขาก็พร้อมใจกันไปขอเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร
กลุ่มที่ว่านี้นำโดยใต้เท้าจู แจกแจงถึงสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าจะเป็นผลเสียของการก่อตั้งโรงเรียนสตรี เริ่มแรกก็พูดจาฉะฉาน มีคารมคมคายร่ายถึงทฤษฎีที่คนรุ่นก่อนยึดถือเป็นกองพะเนิน แต่เอาเข้าจริง กลับบิดเบือนข้อมูลดึงเอาแค่บางส่วนออกมาขยายความเท่านั้น
สุดท้าย ค่อยพูดถึงเป้าหมายสูงสุดของพวกตนว่า “ถ้าสามัญชนมีสติปัญญารู้แจ้งแล้ว จะเป็นผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่ออำนาจธรรมาภิบาลของราชวงศ์ เพราะไม่ว่าราชสำนักจะดำเนินนโยบายการปกครองแบบไหนก็ตาม พวกเขาก็จะขบคิด วิพากษ์วิจารณ์ หาคำอธิบายข้อดีข้อเสียของการปกครอง แต่เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ทุกนโยบายของประเทศไม่อาจสมบูรณ์แบบได้เต็มร้อย ถ้าสามัญชนมีสติรู้แจ้ง เช่นนั้นจะสร้างความยุ่งยากให้กับราชสำนักขนาดไหน?”
หลังจากได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกว่ามันไร้สาระสิ้นดี “ถ้าอย่างนั้น ยึดตามที่เจ้าพูดมา แปลว่าผู้ชายก็ไม่ควรเรียนหนังสือด้วยน่ะสิ”
ใต้เท้าจูส่ายหน้า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ ผู้ชายเรียนหนังสือ นั่นก็เพื่อมาทำงานรับใช้ราชสำนัก ไม่เช่นนั้นแล้วเหตุใดราชสำนักต้องจึงสอบคัดเลือกบัณฑิตด้วย? แต่ผู้หญิงถึงเรียนหนังสือมาก็ไม่อาจเข้าสอบได้ เมื่อผ่านไปนานเข้า พวกนางจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม จากนั้นก็จะเริ่มสร้างปัญหา เมื่อไหร่ที่ผู้หญิงรู้หนังสือ รู้เหตุรู้ผล จะมีผู้หญิงปากมากตั้งเท่าไหร่มาคอยชี้นิ้วสั่งนั่นสั่งนี่กับราชสำนัก…..”
หยู่เหวินเห้าตัดบทคำพูดเขาอย่างเย็นชา “ผู้หญิงปากมาก? คำพูดนี้ของเจ้าน่าจะลองให้ฮองเฮามาได้ยินสักครั้งจริง ๆ”
ใต้เท้าจูตกใจจนผงะ “แต่… แต่ฝ่าบาททรงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สิ่งที่กระหม่อมพูดมาเป็นความจริง ทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นความจริงได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าตำหนิ “เหตุผลโง่ ๆ เจ้าก็แค่อยากจะบอกว่าเมื่อประชาชนรู้เหตุผลมากขึ้นแล้ว ก็จะชักจูงไม่ได้ง่าย ๆ อีกต่อไป และเมื่อไหร่ที่ชักจูงไม่ได้ง่าย ๆ ราชสำนักก็ต้องพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์และคำครหา นั่นแปลว่ามันจะสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับขุนนางในราชสำนักอย่างพวกเจ้ามากขึ้น เจ้าจะหมายความว่าอย่างนี้สินะ?”
“กระหม่อมคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้อำนาจของราชวงศ์อ่อนแอลง อีกทั้งจากมุมมองของประชาชน การที่ผู้หญิงรู้หนังสือจะส่งกระทบผลต่อความสามัคคีในครอบครัว มีผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถจำนวนมากดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง เป็นการดีกว่าที่พวกนางจะไม่มีความรู้ความสามารถ ถ้าเกิดความวุ่นวายในหมู่ประชาชนเพราะความไม่พอใจ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเข้มแข็งของประเทศได้นะพ่ะย่ะค่ะ”