บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1999 รู้กระจ่างต่อความเป็นไปในโลกใบนี้
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1999 รู้กระจ่างต่อความเป็นไปในโลกใบนี้
บทที่ 1999 รู้กระจ่างต่อความเป็นไปในโลกใบนี้
โสวฝู่ไปที่ตำหนักเสือขนทอง หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ก็อยู่ที่ตำหนักเสือขนทองเช่นกัน
ไม่พ้นคุยกันถึงมุมมองของใต้เท้าจู หยู่เหวินเห้าพูดด้วยท่าทีเกียจคร้านว่า “ในโลกนี้ไม่มีทางที่จะมีแค่มุมมองเดียวไปได้ตลอดกาลหรอก ใคร ๆ ก็คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเสนอมาล้วนเป็นความจริง แต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นความจริงน่ะ บางครั้งก็เป็นความเห็นแก่ตัวแบบสวมเปลือกผู้ดีจอมปลอมเท่านั้นเอง พวกเจ้าก็รู้สินะ ที่พวกเขาคัดค้าน ก็เป็นเพราะว่ามันจะส่งผลเสียต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ชาย ดังนั้นพวกเขาไม่ได้อยากปกป้องความจริง แค่อยากปกป้องผลประโยชน์ของผู้ชายอย่างพวกเขาต่างหาก ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ ปล่อยให้เสียงของพวกเขาปรากฏไปเถอะ ข้าเคารพสิทธิในการพูดของพวกเขา ”
“เห็นพ้อง!”
“เห็นพ้อง!”
เจ้าเสือขนทองยกอุ้งเท้าขึ้น นับเป็นการเห็นพ้องกับความเห็นนี้
ท่านชายสี่แนะนำว่า “แสงอาทิตย์งดงามขนาดนี้ ไม่สู้พวกเราเข็นเจ้าเสือขนทองออกไปเดินเล่นดีกว่าหรือไม่?”
โสวฝู่พูดเสียงราบเรียบว่า “แสงอาทิตย์ไม่อาจใช้คำว่างดงามได้ เจ้าสามารถพูดว่าเป็นแสงอาทิตย์ที่สว่างไสวได้ การไม่รู้หนังสือ จะเห็นได้ว่าการมีสติปัญญามีความสำคัญมากแค่ไหน”
“ข้าชอบพูดคำว่างดงามไม่ได้หรือไร? เมื่อครู่เจ้าห้าเพิ่งจะบอกว่าต้องรู้จักเคารพสิทธิในการพูดของทุกคนแท้ ๆ”
ท่านชายสี่พูดพลางก็เดินตรงไปเข็นรถลาก เข็นรถออกไปจนถึงหน้าประตูตำหนักเสือขนทอง แล้วเข้ามาช่วยกันยกเสือขนทองออกไปพร้อมกับพวกเขา
“เจ้าเหลิ่ง เจ้าควรต้องออกแรงให้มากขึ้นอีกหน่อยหรือไม่”
“ข้าเป็นขุนนางบุ๋น” โสวฝู่ประสานมือ วางลงบนแผ่นหลังเจ้าเสือ
“เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้วรยุทธ์เสียหน่อย จะแสร้งทำเป็นอ่อนแอทำไมไม่ทราบ?”
“เจ้าต้องเคารพและปกป้องสิทธิ์ในการเป็นขุนนางบุ๋นของข้าสิ”
“ เล่นลิ้นชัด ๆ เถียงข้าง ๆ คู ๆ ฟังไม่เป็นเหตุเป็นผลสักนิด!” ท่านชายสี่กับหยู่เหวินเห้าวางเสือขนทองลงบนรถลาก พูดพร้อมกันพลางสะบัดแขนเสื้อพึ่บพั่บ
“ในเมื่อไม่เป็นเหตุเป็นผล นั่นจึงไม่เรียกว่าเล่นลิ้น เรียกว่ามีคารมคมคาย”
“อยากซัดเจ้าสักหมัดจริง ๆ!” ท่านชายสี่ก็เริ่มจะเกิดอาการเหลืออดขึ้นมาบ้างแล้ว ต้องมาเจอกับผู้ชายห่วย ๆ แบบโสวฝู่ ต่อให้คนนิสัยดีแค่ไหนก็โดนยั่วยุจนโกรธควันออกหัวได้เลยจริง ๆ
“จะซัดข้ารึ? แม้ว่าข้าจะเป็นขุนนางบุ๋น แต่ข้าก็รู้วรยุทธ์นะ” โสวฝู่ซ่อนมือทั้งสองข้างไว้ใต้แขนเสื้อยาว ไม่คิดจะช่วยเข็นรถออกไป
“น่ารำคาญอะไรเช่นนี้!” หยู่เหวินเห้าเข็นรถลากไปข้างหน้า พูดด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ “จะทะเลาะกันให้มันได้อะไรขึ้นมา แสงแดดอบอุ่นดูน่าประทับใจขนาดนี้แท้ ๆ ต้องมาถูกพวกเจ้ากวนจนกร่อยไปหมดแล้ว”
“ใช้คำว่าอบอุ่นดูน่าประทับใจก็ไม่เหมาะ แต่สามารถใช้คำว่าแผดเผาได้”
“แผดเผาจนย่างคนได้หรือไม่?”
“ย่างเนื้อให้สุกได้ก็แล้วกัน!”
เมื่อพูดถึงเนื้อย่าง จู่ ๆ เจ้าเสือที่อยู่บนรถเข็นก็ยกหัวขึ้นอย่างกระชุ่มกระชวย ส่งเสียงแปลก ๆ ออกมาจากปาก คล้ายเสียง “โฮกๆ” แต่ก็คล้าย “ฮื่อๆ” ในดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย
ทั้งสามคนพร้อมใจกันมองดูครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกันว่า “คืนนี้ย่างเนื้อ!”
เจ้าเสือได้รับคำมั่นตามที่ต้องการ หัวเสือก็นอนลง ปากเสือเปิดขึ้นวาดเป็นมุมโค้ง ยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจ
สนามรบของเนื้อย่างถูกย้ายจากจวนอ๋องซู่มาเป็นพระราชวัง ตอนแรกคนที่ย่างเนื้อเริ่มจากมีแค่กลุ่มชายชราชุดดำกลุ่มนั้น แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นบรรดาอ๋องชิน โสวฝู่ สวีอีพวกนั้นแทน
สามตัวน้อยเมื่อครั้งอดีตในจวนอ๋องซู่ ก็เปลี่ยนเป็นรัชทายาท องค์ชายรอง เจ๋อหลานเจ้าตาทับทิม หยู่เหวินเห้าพูดว่านี่เป็นการส่งต่อบางอย่าง โสวฝู่พูดว่ามันเป็นมรดก ท่านชายสี่พูดว่ามันเป็นพิธีกรรมที่ใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป
ทั้งสามคนทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้ง ขัดขวางความคืบหน้าในการย่างเนื้ออย่างรุนแรง
สวีอีบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “จะทะเลาะอะไรกันนักหนา? ไม่ใช่แค่ย่างเนื้อกินมื้อเดียวหรอกหรือ? ตอนแรกที่คนจวนอ๋องซู่ย่างเนื้อกัน ต้องคิดอะไรมากมายขนาดนี้ด้วยรึ? ในหัวพวกเขาก็แค่อยากจะอ้าปากกินให้เต็มคราบ แค่ย่างเนื้อก็ยังต้องมีเหตุผลมากมายขนาดนี้ เปลืองสมองขบคิดเสียจริง”
ทุกคนถึงกับตกตะลึงอึ้งค้าง ไม่อาจหาคำพูดใดมาลบล้างคำพูดของสวีอีจอมกัดได้เลย สวีอีจอมกัดฝีปากเกรียงไกรยิ่งนัก!
สวีอีจอมกัดก็เป็นคนที่กินมากที่สุดเช่นกัน จะเห็นได้ว่าอาหารเมื่อก่อนจืดชืดเกินไป ฮองเฮามักจะสนับสนุนให้กินอาหารเพื่อสุขภาพ ต้องกินผักผลไม้ พวกเมล็ดพืชแบบไม่ผ่านการขัดสี รวมถึงธัญพืชต่าง ๆ ให้มาก แต่สำหรับผู้ชายนั้นเมื่อเห็นเนื้อก็จะเกิดลักษณะนิสัยประการหนึ่ง คือ ความชอบจนต้องไล่ตามอย่างหลงใหล
เนื้อย่างไม่อาจขาดเหล้าได้ นี่เป็นกฎประการหนึ่ง
แต่ความสนใจของทุกคนยังคงอยู่ที่เสือขนทอง เจ้าเสือกินเนื้อได้แล้ว ฮองเฮาเป็นคนป้อนให้มันกินด้วยตัวเอง ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ค่อย ๆ ป้อนเข้าไป เห็นได้ชัดว่าเจ้าเสือไม่พอใจ แต่เป็นเพราะร่างกายของมันยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ อีกทั้งฟันก็ไม่มีแรงบดเคี้ยว เวลาจะฉีกเนื้อกินไม่ค่อยมีแรง แต่สามารถกลืนได้ดี
มีสัตว์อยู่ที่นี่มากมาย แต่ก่อนบรรดาเสือกับหมาป่าของพวกองค์ชายไม่เคยกินเนื้อย่างซึ่งเป็นอาหารอันแสนโอชะของโลกมนุษย์ใบนี้ ช่วงแรก ๆ พวกมันค่อนข้างไม่คุ้นชิน แต่พอกินไป ๆ พวกมันก็ตกหลุมรักขึ้นมาจนได้
โชคดีที่ในวังตอนนี้ไม่เหมือนกับจวนอ๋องซู่ในสมัยก่อน มีเนื้อมากพอให้กินจนอิ่ม ไม่จำเป็นต้องแย่งต้องชิงกัน
ลดเสียงอึกทึกคึกโครมของการแย่งชิงกันให้น้อยลงได้ แต่ก็สงบเงียบใช้ชีวิตได้สบายขึ้นมาก
พวกผู้หญิงกินไม่มาก หลังจากกินเนื้อไปไม่กี่ชิ้น พวกนางก็แยกไปคุยกันอีกด้าน
พวกผู้ชายยังคงดื่มเหล้ากินเนื้อย่างต่อ แสงไฟจากถ่านสะท้อนใบหน้าที่ยินดีมีความสุขของพวกเขา พวกผู้หญิงต่างจ้องมองกันจนตาค้าง เริ่มโต้เถียงกันว่าผู้ชายคนไหนหน้าตาดีกว่ากัน
เดิมทีทุกคนต่างลงความเห็นว่าเป็นท่านชายสี่ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าทุกคนต่างเลือกผู้ชายของตัวเอง ทั้งไม่ยอมรับความเห็นต่างใด ๆ อีกด้วย
พวกผู้ชายต่างหัวเราะด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ ถูกต้องแล้ว ในใจของพวกเขา ภรรยาของตัวเองคือคนที่สวยที่สุด
โสวฝู่ส่ายหน้า หันไปพูดเบา ๆ กับหงเย่ว่า “เจ้าพวกโง่พวกนี้ แค่พวกผู้หญิงพูดประโยคเดียวว่าพวกเขาหน้าตาดีที่สุด พวกเขาต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนคำชมนี้ไปเท่าไหร่กัน? ข้าเดาว่าน่าจะเต็มใจเป็นวัวเป็นม้าก้มหน้ารับใช้ไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ เลยกระมัง”
หงเย่เป็นคนที่รู้กระจ่างต่อความเป็นไปในโลกใบนี้ “อื้ม ใช่แล้วล่ะ แต่ในทางกลับกัน บนโลกนี้ก็มีผู้หญิงตั้งเท่าไหร่ที่เพราะได้รับคำพูดหวานหูไม่กี่คำ ก็ยอมทุ่มกายถวายชีวิตยอมคลอดลูกชายหญิง ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ให้พวกผู้ชายน่ะ?”
โสวฝู่เห็นด้วยอย่างไร้ข้อโต้แย้งในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่แต่งงาน เขาไม่ยอมรับความดีของใคร และตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ใครด้วย