บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2007 คดีที่เจ้าห้าเคยทำมาก่อน
บทที่ 2007 คดีที่เจ้าห้าเคยทำมาก่อน
เมื่อกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้หยวนชิงหลิงฟัง นางก็หัวเราะออกมาทันที “อันที่จริงข้าก็เดาได้แล้วล่ะ ว่าพวกเขาคงไม่ชอบเล่นไพ่นกกระจอกกันหรอก แต่จะต้องชอบไพ่นกกระจอกหยกสำรับนั้นแน่ ๆ เพราะมันสามารถเอาไปขายแลกเป็นเงินได้”
“เจ้าไม่รีบเตือนข้าให้เร็วกว่านี้หน่อยล่ะ? ถ้าเจ้ารีบบอกเสียตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ข้าคงจะไม่ไปแน่ ” หยู่เหวินเห้าบ่นกระปอดกระแปด เขาอุตสาห์สอนอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่เป็นชั่วยามแท้ ๆ ในสายตาคนพวกนั้น ฮ่องเต้อย่างเขาคงเป็นเหมือนคนโง่เลยล่ะสิ?
“ไม่จำเป็นต้องเตือนอะไรเจ้าหรอก เจ้านำไพ่นกกระจอกไปที่นั่น มันทำให้พวกเขามีความสุขได้ แค่ทำให้พวกเขามีความสุขได้ก็มากเกินพอแล้ว พวกเราก็แค่ยอมน้อยใจนิด ๆ หน่อย ๆ ไปแล้วกัน”
หยู่เหวินเห้าหวนนึกถึงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังบนใบหน้าของพวกเขา ชั่วขณะที่พวกเขาแบ่งสรรปันส่วนไพ่นกกระจอกกัน นั่นไม่น่าจะเรียกว่ามีความสุขหรอกกระมัง? สำหรับพวกเขา แล้ว การแบ่งเงินถือเป็นพิธีกรรมอันเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์เลยต่างหาก
แต่พอคิดไปคิดมาเขาก็ปลงตก พวกเขามีความสุขก็นับว่าดีหมด
“จริงสิ ช่วงนี้กวาเอ๋อร์ไม่ได้มากินข้าวกับพวกเราเลยนะ นางยุ่งกับอะไรอยู่รึ?” หยู่เหวินเห้าเพิ่งนึกถึงลูกสาวขึ้นมาได้ เขารู้สึกละอายใจมากจริง ๆ ช่วงหลายวันมานี้เขาเอาแต่ติดเล่นไพ่นกกระจอกงอมแงมจนยากจะถอนตัว ช่างทำร้ายคนยิ่งนัก ไพ่นี่มันช่างทำร้ายคนยิ่งนัก!
“ช่วงนี้นางยุ่งกับคดีหนึ่ง รู้สึกว่ามีข้อน่าสงสัยบางประการที่ต้องสืบสวนให้ละเอียด”
“ยังจำเป็นต้องสืบสวนอีกรึ? ไม่ใช่ว่ามีกำไลอันหนึ่ง ที่สามารถใช้บอกตัวฆาตกรได้หรอกหรือ?”
“นางเคยบอกข้าว่า รู้สึกเหมือนว่านักโทษคนนั้นอาจถูกกำไลตัดสินผิดก็เป็นไปได้”
“กำไลข้อมือก็เกิดความผิดพลาดได้ด้วยรึ?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป ของสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีอำนาจพลานุภาพ ใช้ตัดสินชี้ขาดได้หรอกหรือ?
หยวนชิงหลิงพูดว่า “โอกาสที่จะผิดพลาดมีน้อยมาก แต่นางบอกว่าอย่างไรก็เป็นชีวิตคนชีวิตหนึ่ง จำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีกหน่อย”
“เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยลูกสาวหน่อยสิ”
“นางไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ ข้าก็จะไม่ช่วย อีกทั้งนี่เป็นหน้าที่ในอาชีพของนาง ข้าต้องวางมือแล้วปล่อยให้นางทำด้วยตัวเอง” นางเหลือบมองหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง “คดีนี้แท้จริงแล้วเจ้าเคยจัดการมาก่อน ผู้ต้องสงสัยมีแรงจูงใจในการฆ่า อีกทั้งศพก็เป็นเขาที่เจอคนแรก ตัวเขาอยู่ในที่เกิดเหตุฆาตกรรม เจ้าเคยจับตัวเขามาดำเนินคดี แต่หลังผ่านการสืบสวนขั้นสุดท้าย ไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาคือฆาตกร เจ้าจึงต้องปล่อยตัวเขาไปภายใต้แรงกดดันรอบด้านเพราะคดีนี้ ทำให้เสด็จพ่อเคยตั้งข้อสงสัยในความสามารถของเจ้าเลยทีเดียว”
ตอนที่เจ้าห้ารับหน้าที่เป็นเจ้ากรมการพระนคร เคยจัดการกับคดีความใหญ่ ๆมากมาย แต่มีคดีหนึ่งที่ทิ้งความทรงจำไว้ให้เขาอย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษ
ดังนั้น ทันทีที่เจ้าหยวนพูดถึง เขาก็โพล่งออกมาว่า “คดีศพหญิงสาวในลำธาร”
“ถูกต้อง เป็นคดีนี้ หลังจบคดีนี้ก็ยังไม่เคยพบตัวฆาตกรมาโดยตลอด กลายเป็นคดีที่ยังไม่อาจคลี่คลาย เจ๋อหลานไปถามขอคดีจากเจ้าเจ็ด แล้วเริ่มสอบสวนคดีนี้อีกครั้ง หลังการตรวจสอบไปหลายครั้งนางก็พบว่า ผู้ต้องสงสัยยังคงชี้ไปที่ผู้ต้องสงสัยคนเดิมเมื่อตอนนั้นที่ชื่อว่าเฉินหวู่ นางมีความรู้สึกว่า บนตัวเฉินหวู่แบกหนี้เลือดไว้เด่นชัด อีกทั้งกำไลข้อมือก็ชี้ไปที่เขาด้วย”
“อย่างนั้นรึ?” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่น “หรือว่าเมื่อตอนนั้นข้าจะพลาดปล่อยตัวฆาตกรไปจริง ๆ แต่ในเมื่อกวาเอ๋อร์ตรวจสอบด้วยตัวเอง ก็ยังพบว่าฆาตกรคือเฉินหวู่คนนั้น แล้วกำไลข้อมือก็ชี้ไปที่เขา ทำไมนางถึงยังสืบสวนต่ออีกล่ะ?”
“นางบอกว่าเฉินหวู่ดูไม่เหมือนเป็นฆาตกร แต่นางก็บอกไม่ถูกว่าตรงไหนที่ไม่เหมือน มันเป็นสัญชาตญาณ”
“สัญชาตญาณไม่อาจนำมาตัดสินความถูกต้องแม่นยำหรอกกระมัง? อีกทั้งนางก็รู้สึกด้วยว่าเขาเป็นคนประเภทที่แบกหนี้เลือดไว้ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้เขาจะไม่ได้ฆ่าคู่หมั้นของเขา แต่ก็เป็นไปได้ที่เขาอาจจะฆ่าคนอื่น ดังนั้นหนึ่งชีวิตชดใช้หนึ่งชีวิต ไม่นับว่าตัดสินเขาผิดหรอก”
“นางมีความคิดของตัวเอง ตอนนี้นางติดตามเฉินหวู่ทุกวัน ให้นางลองตรวจสอบก่อนเถอะ ถ้านางไม่มาขอความช่วยเหลือ พวกเราก็ไม่ต้องไปถามเซ้าซี้ ดีหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าแล้วพูดว่า “อื้ม การที่นางรอบคอบและระมัดระวังในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตถือเป็นเรื่องดี ทั้งยังเป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ นั่นเพราะกำไลข้อมือเป็นตัวแทนของอำนาจชี้ขาด นางไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกกำไลข้อมือชักนำไป เด็กคนนี้ช่างมีความคิดเป็นของตัวเองยิ่งนัก”
ถึงอย่างไรคดีนี้ก็เป็นเจ้าห้าที่ลงมือสืบสวนเอง อีกทั้งเมื่อว่ากันตามจริง ผ่านไปตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายังนึกห่วงพะวงในใจไม่หาย ว่าเมื่อไม่พบผู้กระทำผิดตัวจริง ก็คงไม่มีหนทางที่จะปลอบโยนวิญญาณของเหยื่อที่อยู่บนสวรรค์ได้แน่ ๆ
หวังว่าลูกสาวจะสามารถหาฆาตกรตัวจริงพบ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็พอจะชดเชยความรู้สึกเสียใจของเขาเมื่อตอนนั้นได้แล้ว
เจ๋อหลานมีปัญหายุ่งยากกับคดีนี้จริง ๆ
คดีนี้ดำเนินมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว เหยื่อในตอนนั้นเป็นเด็กสาวอายุสิบหก ชื่อว่าอู๋เหวิน เป็นคู่หมั้นของผู้ต้องสงสัย เป็นคู่ที่ถูกหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก แต่อู๋เหวินไม่ชอบผู้ต้องสงสัย เฉินหวู่ นางชอบบัณฑิตผู้หนึ่งที่มาสอบคัดเลือกในเมืองหลวง
ตระกูลของอู๋เหวินทำการค้าขาย เป็นตระกูลที่มั่งคั่ง เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับตระกูลเฉินของผู้ต้องสงสัย หลังการตายของอู๋เหวิน ทั้งสองตระกูลก็ตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิง ตระกูลอู๋รังเกียจเคียดแค้นตระกูลเฉินชนิดเข้ากระดูกดำ เพราะถึงแม้จะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเฉินหวู่เป็นคนฆ่า แต่เขาเคยถูกจับไปสอบสวน ทั้งยังเคยเป็นผู้ต้องสงสัย สุดท้ายเพราะไม่สามารถจับฆาตกรตัวจริงได้ ตระกูลอู๋จึงคิดเอาเองว่า ถึงอย่างไรลูกสาวของตนก็ถูกเฉินหวู่ฆ่า
หยู่เหวินเห้าคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ยังตัดสินใจไปคุยกับลูกสาวก่อนดีกว่า เขาไม่สามารถหัวก้าวหน้าได้ขนาดเจ้าหยวน ที่จะรอจนกว่าลูกสาวมาร้องขอความช่วยเหลือก่อน ถึงจะถามไถ่ให้คำปรึกษา