บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2008 ใครคือฆาตกร
บทที่ 2008 ใครคือฆาตกร
ส่วนหวงเฉวียนคนในดวงใจของอู๋เหวิน ซึ่งก็คือบัณฑิตเมื่อตอนนั้น ปัจจุบันเป็นสมาชิกคนสำคัญของราชสำนัก ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสี่เป็นรองเจ้ากรมข้าราชการพลเรือน
คนผู้นี้ได้รับมอบหมายจากพ่อให้ทำงานสำคัญเยอะมาก นางเคยได้ยินพ่อเล่าว่า หลังผ่านการพิจารณาแล้ว มีความตั้งใจว่า จะเลื่อนตำแหน่งหวงเฉวียนเป็นเลขานุการกรมข้าราชการพลเรือน
แต่จะพูดไปก็บังเอิญมาก ปู่ของนางฉู่ภรรยาหวงเฉวียน นามฉู่ฟางเจิ้ง ในตอนนั้นเคยมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีของศาลต้าหลี่ ฉู่ฟางเจิ้งกับท่านฉู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หวงเฉวียนเป็นลูกเขยตระกูลฉู่
ว่ากันว่าใต้เท้าหวงเฉวียนผู้นี้ก็มีสถานะเป็น “เหยื่อ” ในคดีนี้เช่นกัน เพราะคนในดวงใจของเขาถูกฆ่าตาย
แต่จนสุดท้ายเจ๋อหลานก็ยังให้ความสนใจที่ตัวเขาอยู่ดี รู้สึกว่าเขาน่าสงสัยมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็สืบไม่พบกลิ่นอายใด ๆ ที่จะบ่งชี้หนี้เลือดบนร่างของเขาเมื่อตอนนั้นได้เลย
กลิ่นที่ว่านี้ กลับไปพบอยู่บนร่างของเฉินหวู่แทน
แต่นางก็รู้สึกว่าเฉินหวู่ไม่ใช่ฆาตกรอยู่ดี
นางจัดการคดีมามากมายขนาดนี้แล้ว ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เกิดความรู้สึกว่ามันขัดแย้งกันขนาดนี้มาก่อนเลย
กำไลชี้ชัดว่าเฉินหวู่เป็นฆาตกร ส่งผลให้กำไลคำสั่งนรกมีผลตัดสินออกมาหลายครั้ง ว่าให้รีบเอาชีวิตเฉินหวู่โดยเร็วที่สุด
แต่ก่อนที่ความรู้สึกซับซ้อนในใจจะคลี่คลายลงได้ นางไม่อยากรีบลงมือแบบใจร้อนผลีผลาม
นางรู้ว่าที่ผ่านมา กำไลข้อมือไม่เคยมีจุดผิดพลาดใด ๆ ใจหนึ่งก็คิดว่าตัวเองมีเหตุผลที่จะเชื่อกำไลข้อมือ เพราะถึงอย่างไรก็มีหลักฐานปรากฏเบื้องหน้ายืนยันว่าเฉินหวู่เป็นฆาตกร
นี่มันช่างน่าหงุดหงิดจนผมร่วงได้เลยจริง ๆ นางจึงไปหาพวกพี่ชายเพื่อคุยเรื่องนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่อยากไปร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อกับแม่เร็วขนาดนั้น ถ้าสุดท้ายแล้วนางหาวิธีไม่ได้จริง ๆ ก่อนจะลงมือตัดสินคดีของเฉินหวู่ นางจะไปหาแม่เพื่อถามความเห็น
พวกเขาไปรวมตัวกันที่ตำหนักเสือขนทองเพื่อปรึกษาหารือ ไม่เพียงแค่ได้อยู่เป็นเพื่อนเสือขนทอง แต่ยังสามารถพูดคุยเรื่องคดีความได้ด้วย
รัชทายาท ทังหยวน เจ้าตาทับทิม รวมถึงเสือขนทองที่ยังอ่อนแออยู่บ้าง เริ่มต้นหารือเกี่ยวกับคดีนี้ แต่สัตว์ทั้งสอง ได้แก่เสือขนทองกับเจ้าตาทับทิมรับหน้าที่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ รับหน้าที่คอยทำเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง หรือส่งเสียงฮื่อ ๆ ออกมาเพื่อช่วยขับเคลื่อนบรรยากาศให้มันดูจริงจังขึ้นเฉย ๆ
หลังฟังคำอธิบายคร่าว ๆ ของเจ๋อหลานเกี่ยวกับคดีนี้ รัชทายาทก็รีบจัดกลุ่มทันที ให้เสือขนทอง นอนลง “เสือขนทอง เจ้าคือผู้ตายอู๋เหวิน เจ้าตายอยู่ในลำธารท่ามกลางค่ำคืนที่มีฝนตกคืนหนึ่ง ทังหยวน เจ้าคือหวงเฉวียน…..”
เจ้าเสือกางกรงเล็บออก ตะปบเบา ๆ บนแขนของรัชทายาท แสดงท่าทีให้รัชทายาทเห็นว่าตนเองไม่สามารถทำใจรับบทเป็นผู้ตายได้
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 2008 ใครคือฆาตกร –
เจ้าตาทับทิมกลับนอนลงทันที ดวงตาสาดประกายวับวาวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ข้าจะเล่นเป็นคนตายให้เอง”
รัชทายาทติงขึ้นว่า “เจ้าตาทับทิม จะทำท่ายินดีมีความสุขขนาดนี้ไม่ได้นะ นี่เป็นคดี มีคนตายจริง ๆ ”
“อื้ม ข้ารู้แล้ว” เจ้าตาทับทิมหลับตาลง เก็บสีหน้าอาการ เริ่มปลดปล่อยความเงียบงันในฐานะคนตายคนหนึ่งออกมาทันที
ทุกคนมองจ้อง โอ้! นับว่านางเป็นมืออาชีพมากเลยทีเดียว
ทุกคนเข้าสู่คดี ทังหยวนรับบทเป็นบัณฑิตที่ชื่อหวงเฉวียน ส่วนรัชทายาทรับบทเป็นเฉินหวู่
สถานการณ์ปัจจุบันคือ เจ้าตาทับทิมกับซาลาเปามีสัญญาแต่งงานกัน แต่เจ้าตาทับทิมไปตกหลุมรักบัณฑิตทังหยวน ยึดตามบันทึกคำให้การของกรมการพระนครในตอนนั้น คนในครอบครัวของเจ้าตาทับทิมก็รู้ถึงการมีอยู่ของบัณฑิตทังหยวน แต่ก็ต่อต้านไม่ให้ลูกสาวของตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับทังหยวนอย่างเฉียบขาด ถึงกับเริ่มเตรียมการหาฤกษ์หายามจัดพิธีแต่งงาน เพื่อส่งตัวเจ้าตาทับทิมไปแต่งให้ซาลาปาโดยเร็วที่สุด
เจ้าตาทับทิมเอะอะโวยวาย ร้องห่มร้องไห้อยู่หลายวัน พอเห็นว่าไม่ได้ผลก็พยายามจะแขวนคอตาย แต่แน่นอนว่าถูกช่วยชีวิตไว้ได้ทัน
ส่วนทางครอบครัวของซาลาเปานั้น ก็รู้ว่าเจ้าตาทับทิมชอบบัณฑิตคนหนึ่ง ทุกคนต่างโกรธมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไปสืบจนรู้มาว่า เจ้าตาทับทิมถึงกับคิดสั้นฆ่าตัวตายเพื่อบัณฑิตคนนั้น ก็รู้สึกว่า การแต่งงานครั้งนี้คงไม่มีทางมีความสุขได้แน่ ๆ
ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของซาลาเปาจึงเริ่มอยากยอมแพ้แล้ว แต่เพราะซาลาเปาชอบเจ้าตาทับทิมมาก ชอบถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่ใช่นางเขาก็จะไม่แต่ง พอได้ยินว่าทางครอบครัวจะยอมล้มเลิกงานแต่งแล้ว ก็ร้องไห้โวยวายทั้งยังอดอาหารประท้วง คนในครอบครัวเองก็จนปัญญาเหมือนกัน ทำได้แค่วางแผนจัดงานแต่ง คิดกันไปว่าหลังจากที่เจ้าตาทับทิมแต่งเข้ามาแล้ว ผ่านไปนานเข้าก็คงจะค่อย ๆ ลืมบัณฑิตทังหยวนไปเอง
แต่เจ้าตาทับทิมก็เป็นผู้หญิงที่ยึดถือในเรื่องพรหมจรรย์เป็นสิ่งสำคัญยิ่งชีพ ในเมื่อนางมีคนในดวงใจแล้ว จึงไม่คิดจะแต่งให้กับใครอื่นอีกทั้งนั้น
นางจึงสั่งให้สาวใช้ไปนัดซาลาเปาออกมา คิดจะพูดกับเขาให้เข้าใจกระจ่างชัดหวังว่าเขาคงจะยอมตกลงรับปากยุติการหมั้นหมายนี้
ซาลาเปาออกไปพบนาง แต่ไม่ตกลงรับปากเรื่องยุติการหมั้นหมาย กลับกันเขาพยายามเกลี้ยกล่อมนางในฐานะคนที่รู้จักรักใคร่ คบหาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแทน
แต่เจ้าตาทับทิมที่ในหัวเต็มไปด้วยความหลงใหลในความรักอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว ก็ไม่เต็มใจจะพูดถึงประเด็นความสนิทสนมรักใคร่เมื่อสมัยยังเด็กพวกนั้นจึงระเบิดโทสะใส่เขา แล้วยังลงมือตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งด้วย
การสนทนาครั้งแรก จบลงแบบแยกกันไปด้วยความไม่ลงรอย
หลังจากที่เจ้าตาทับทิมกลับไป ยังไปโวยวายสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่ ทั้งอดอาหารทั้งจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง พ่อแม่ของเจ้าตาทับทิมเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน ต่างรู้สึกว่าถ้ายังก่อปัญหาแบบนี้ต่อไป จนเกิดตายขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาจะทำอย่างไรดี?
ดังนั้น ทั้งสองคนจึงตัดสินใจไปหาบัณฑิตทังหยวนเป็นการส่วนตัว เพื่อจะตรวจสอบลักษณะนิสัยและความรู้ของอีกฝ่าย
หลังจากตรวจสอบแล้ว พ่อแม่ของเจ้าตาทับทิมไม่ได้รู้สึกพอใจในตัวบัณฑิตทังหยวนนัก รู้สึกว่าบัณฑิตทังหยวนมักจะเอ่ยปากให้คำมั่นสัญญาง่าย ๆ เรียกว่าเอะอะอะไรก็อ้าปากสบถสาบานไว้ก่อน ดูแล้วขาดความมั่นคงหนักแน่น
แต่ลูกสาวชอบนี่สิ แบบนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ทำได้แค่ต้องให้พ่อของเจ้าตาทับทิมไปคุยกับพ่อของซาลาเปาเรื่องยกเลิกการแต่งงาน
แต่เพราะสองตระกูลนี้ได้เริ่มวางแผนการแต่งงานขึ้นมาแล้ว คนในแวดวงญาติมิตรผองเพื่อนแต่ละฝ่ายต่างก็รู้กันหมดแล้ว คนในแวดวงธุรกิจก็รู้ด้วยเหมือนกัน ฝ่ายตระกูลของซาลาเปานับได้ว่ามีหน้ามีตาในสังคม ไม่อยากถูกยกเลิกการแต่งงานเอาตอนนี้ บอกว่าถ้าเขาคิดจะยกเลิกงานแต่ง ทำไมไม่รีบบอกกันให้เร็วกว่านี้
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พ่อของสองตระกูลก็ทะเลาะกัน แล้วแยกจากด้วยความไม่ลงรอยไปด้วยอีกคู่