บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2009 ยังต้องให้เจ้าเสือลงมือเองจนได้
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 2009 ยังต้องให้เจ้าเสือลงมือเองจนได้
บทที่ 2009 ยังต้องให้เจ้าเสือลงมือเองจนได้
เจ้าตาทับทิมรู้สึกว่า ไม่ง่ายเลยกว่านางจะเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ได้สำเร็จ แต่เพราะซาลาเปาไม่ยอมรับปากเรื่องยกเลิกงานแต่ง นางรู้สึกโกรธมาก ดังนั้นจึงสั่งให้สาวใช้ไปนัดซาลาเปาออกมาอีกครั้ง
จากตรงนี้เหลือเพียงคำให้การของซาลาเปาเท่านั้นแล้ว ซาลาเปามาถึงหอตะวันตกซึ่งเป็นสถานที่นัดพบ ไม่เห็นเจ้าตาทับทิม จึงรออยู่ที่หอตะวันตก หลังจากรอไปได้ราว ๆ ครึ่งชั่วยาม ก็ยังไม่เห็นเจ้าตาทับทิมมา แต่กลับเป็นสาวใช้ของนางมาแทน สาวใช้บอกว่าคืนนี้คุณหนูไม่ว่าง เปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้ค่อยนัดกันใหม่
ซาลาเปาหงุดหงิดอารมณ์เสีย ดื่มเหล้าไปหนึ่งไห บนตัวมีกลิ่นเหล้าจึงไม่อยากกลับบ้านไปถูกพ่อกับแม่เห็นเข้า จึงไปเดินเล่นแถว ๆ นั้นเพื่อให้กลิ่นเหล้าระเหย
ระหว่างที่เดิน ๆ ไป ก็เดินห่างออกจากจุดที่มีแสงไฟ ไปถึงเนินดินผืนหนึ่งที่มืดสนิท ถูกเถาวัลย์เกี่ยวเท้าจนสะดุด เขาเสียหลักล้มไปข้างหน้า ไม่สามารถยั้งฝีเท้าได้ เขาล้มแล้วกลิ้งตกลงไปในลำธารเล็ก ๆ สายหนึ่งที่อยู่ใต้เนินดิน
โชคดีที่เนินดินนั้นไม่สูงมาก เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ตอนที่เขายืนขึ้นกลับพบว่าในลำธารมีร่างคนอยู่ร่างหนึ่ง จึงตกใจจนรีบชักเท้าวิ่งหนีไป
แต่วิ่งออกไปได้ไม่ไกล จู่ ๆ ก็ตะลึงขึ้นมา เสื้อผ้าชุดนั้นมัน…..
เขารีบวิ่งกลับไปที่ลำธารในสภาพเหมือนคนเสียสติ พบว่าร่างของคนที่นอนอยู่ในลำธารนั้นก็คือเจ้าตาทับทิม เขายื่นมือออกไปสำรวจลมหายใจ ก่อนจะพบว่าเจ้าตาทับทิมตายแล้ว
เขาทั้งตื่นตระหนกทั้งโศกเศร้า แบกร่างของเจ้าตาทับทิมวิ่งกลับไป แต่เมื่อเขาวิ่งไปจนใกล้หอตะวันตกก็เห็นสาวใช้ของเจ้าตาทับทิม
สาวใช้กรีดร้องเสียงดัง จนดึงดูดความสนใจรอบด้าน มีคนไปแจ้งเจ้าหน้าที่
คำให้การของบัณฑิตทังหยวนคือ คืนนั้นเขากับเพื่อน ๆ นัดกันออกไปดื่มเหล้า มีเพื่อน ๆ ที่ช่วยพิสูจน์หลักฐานที่อยู่ได้ รวมถึงคนงานในโรงเตี๊ยมก็สามารถพิสูจน์ได้เช่นกัน ดังนั้น ความน่าสงสัยของเขาจึงถูกตัดทิ้งไป
สาวใช้บอกว่า คืนนั้นเจ้าตาทับทิมไปที่หอตะวันตกจริง ๆ แต่พอไปถึงหอตะวันตกแล้วกลับเปลี่ยนใจ บอกว่าไม่อยากเจอหน้าเขา ให้เปลี่ยนไปนัดกันวันอื่นแทน แล้วสั่งให้สาวใช้ไปที่หอตะวันตกเพื่อบอกซาลาเปา
ตอนที่สาวใช้กลับไปไม่เห็นเจ้าตาทับทิม ก็คิดว่านางคงจะกลับบ้านแล้ว แต่ผลคือเมื่อกลับไปถึงบ้านพบว่าคุณหนูยังไม่กลับมา จึงออกไปตามหาที่บริเวณหอตะวันตกอีกครั้ง ระหว่างที่กำลังตามหาอยู่ ก็พบว่าซาลาเปาแบกศพของคุณหนูกลับมา
คำให้การของซาลาเปา เป็นเหมือนกับภาพจำลองเหตุการณ์เมื่อครู่
คำให้การของนักชันสูตรศพบอกว่า เจ้าตาทับทิมถูกคนบีบคอจนตาย บนคอมีรอยนิ้วมือหลงเหลืออยู่
“ตอนแรกพ่อปล่อยตัวคู่หมั้นคนนั้นไป” เจ๋อหลานขมวดคิ้ว “เพราะลายนิ้วมือบนศพไม่ตรงกัน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าเขาไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าเจ้าตาทับทิม อีกทั้งคืนนั้นหลังจากที่สาวใช้มาแล้ว เขาก็ดื่มเหล้าอยู่ที่หอตะวันตกราว ๆ ครึ่งชั่วยาม ซึ่งจุดนี้ คนงานในหอสุราตะวันตกต่างก็สามารถยืนยันได้”
“ความน่าสงสัยของคู่หมั้นยังค่อนข้างสูงอยู่ดี เพราะคุณหนูเสียใจที่ต้องแต่งงาน ทั้งยังตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่ง เขาแค้นเคืองใจจึงลงมือฆ่านาง พูดไปแล้วก็ถือว่ามีแรงจูงใจนะ” ทังหยวนพูด
เจ้าตาทับทิมเอามือเท้าคาง “แต่คุณหนูคนนั้นไม่ได้ไปที่หอตะวันตกนี่? เขาไปเจอคุณหนูคนนั้น แล้วยังลงมือฆ่านางได้อย่างไรล่ะ?”
“เดาคร่าว ๆ น่าจะประมาณว่าคุณหนูกำลังเดินเล่นอยู่ใกล้ ๆ เขาได้พบกับคุณหนู จากนั้นก็ทะเลาะกัน พลั้งมือบีบคอนางตาย ? แต่นั่นก็ไม่ถูกนะ ลายนิ้วมือไม่ตรงกัน”
เจ๋อหลานพูดว่า “ถูกต้อง ที่พ่อปล่อยเขาก็เพราะยึดตามหลักฐานข้อนี้ พ่อเขียนไว้ท้ายสำนวนคดีว่า ขอแค่ยังมีจุดต้องสงสัย ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเขาคือฆาตกร”
“รอยนิ้วมือนี้ตรงกันจริง ๆ หรือ? แล้วมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับแรงบีบที่เขาใช้หรือเปล่า?” ทังหยวนไม่เคยทำคดีมาก่อน จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้มากนัก
รัชทายาทส่ายหน้า “คู่หมั้นคนนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งการไปถึงจุดที่ลงมือฆ่าใครซักคน จะต้องถึงขั้นเกลียดชังสุดขีดแล้วจริง ๆ เขาจะต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีอย่างแน่นอน เวลานั้นเขาไม่มีสติคิดใคร่ครวญถึงเรื่องอะไรพวกนี้หรอก”
“พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง คืนนั้นเป็นการนัดหมายแบบกระทันหัน อีกทั้งฝ่ายหญิงเป็นคนผิดนัด เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะวางแผนฆ่าคนไว้ล่วงหน้า ถ้าคนถูกเขาฆ่าจริง ๆ ก็น่าจะฆ่าด้วยความโกรธแค้นมากกว่า การฆ่าคนด้วยความโกรธแค้น ไม่มีทางวางแผนรัดกุมไร้ช่องโหว่ได้ขนาดนี้แน่ ๆ”
“บนร่างของผู้ตาย มีแค่รอยบีบที่ลำคอหรือ?” ทังหยวนถาม
เจ๋อหลานพูดว่า “ได้อ่านจากบันทึกสำนวนคดีแล้ว บนร่างมีแค่รอยบีบ มีบาดแผลที่ส่วนอื่นบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ”
“พบในลำธาร จะเป็นการจมน้ำตายได้หรือไม่?”
“หลักฐานที่นักชันสูตรยื่นขึ้นมา ไม่ได้เขียนว่าจมน้ำ แต่เขียนว่าตายจากการขาดอากาศหายใจ”
“เป็นไปได้ไหม ที่อาจตรวจไม่พบบาดแผลตรงไหนสักแห่ง? ยกตัวอย่างเช่น การบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะ” รัชทายาทถาม
เจ้าเสือขนทองที่ฟังอยู่ข้าง ๆ พลันกลอกตา จู่ ๆ ก็ล้มตัวลงนอน กรงเล็บสองข้างกดลงบนลำคอตัวเอง ดวงตาเสือมองกลอกกลิ้งไปรอบ ๆ มองจ้องเขม็ง ลิ้นเสือแลบยาวออกมา ทำท่าเหมือนพยายามจะสูดอากาศหายใจเข้าไป
ทุกคนต่างหันไปมองมัน รู้สึกตื่นตกใจไปตาม ๆ กัน นี่คืออาการของโรคลมบ้าหมูกำเริบที่เกิดกับเจ้าเสืออย่างนั้นรึ?
ระหว่างที่กำลังจะเข้าไปตรวจดูอาการ กลับเห็นว่าหัวของมันเอียงไปข้าง ๆอย่างกะทันหัน ทำท่าราวกับว่าไม่หายใจแล้ว แต่จากนั้นมันก็กลิ้งตัวหลุน ๆ ไปมาอีกหลายตลบ ทิ้งร่างลงนอนแผ่หรากับพื้น ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีกเลย
เจ๋อหลานส่งเสียงร้อง “อ๋า” ออกมาเสียงหนึ่ง กระโดดผลุงขึ้นมาแล้วร้องตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!”
นางโผร่างเข้าไป กอดเสือขนทองจนเต็มรัก “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณนะเจ้าเสือ!”
รัชทายาทกับทังหยวนก็เข้าใจได้ในทันทีเหมือนกัน มีเพียงเจ้าตาทับทิมเท่านั้นที่ยังคงเบิกตาทั้งสองข้างอันว่างเปล่าค้างเติ่งอยู่ รู้อะไรกันรึ?
ที่ด้านนอก เจ้าห้ามองดูภาพฉากนี้ ในใจก็ครุ่นคิดอยู่หลายตลบ แต่ก็เหมือนว่าเขาจะไม่ได้เข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้น นี่แปลว่าสติปัญญาของเขายังมีไม่มากพออย่างนั้นรึ?