บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2011 แผนการของชาวประมง
บทที่ 2011 แผนการของชาวประมง
ถ้าจะถามถึงเบาะแสเหล่านี้ แน่นอนว่าควรให้ทางการเป็นฝ่ายออกหน้าจะดีกว่า
ดังนั้น เจ๋อหลานจึงไปกราบทูลเสด็จพ่อ ให้ฮ่องเต้ทรงรื้อคดีนี้ขึ้นมาใหม่ ทำการสืบสวนอีกครั้ง
คดีนี้กลายเป็นคดีที่ยังไม่คลี่คลายในเวลานั้น เรียกว่ายังไม่สิ้นสุดคดี ดังนั้น เมื่อมีเบาะแสใหม่เข้ามาจึงมีการยกคดีขึ้นมาสืบสวนใหม่ ทั้งสมเหตุสมผลและถูกต้องตามกฎหมาย
ฝ่าบาททรงเห็นชอบ คดีนี้จึงถูกส่งกลับไปอุทธรณ์ที่กรมการพระนคร รัชทายาทเป็นผู้ช่วยในการทำคดีนี้ สามารถร่วมนั่งฟังในห้องพิจารณาคดีได้
เรื่องของคดีนี้ ถูกหยู่เหวินเห้ายกขึ้นมาพูดในราชสำนัก แต่ตัวเขาเองไม่เห็นปฏิกิริยาใด ๆ ของหวงเฉวียน เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกระแวงภัยของหวงเฉวียนดังนั้นเขาจึงให้โสวฝู่คอยจับตามองหวงเฉวียนไว้ ดูให้ดีว่าเมื่อเขาได้ยินเรื่องที่จะรื้อคดีนี้ขึ้นมาใหม่ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ชั่วขณะที่หวงเฉวียนได้ยินว่าคดีนี้จะถูกรื้อขึ้นมาสืบสวนใหม่อีกครั้ง ก็มีท่าทีตื่นตะลึงไปวูบหนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ
ชั่วขณะนั้นโสวฝู่มองไม่เห็นวี่แววชวนเคลือบแคลงใด ๆ เพราะคดีที่ดำเนินมาอย่างยาวนานคดีนั้นถูกส่งกลับไปสอบสวนใหม่ และครั้งหนึ่งเขาเองก็เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดี การที่เขาจะมีท่าทีตกใจบ้างก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เมื่อฮ่องเต้ตรัสถึงสาเหตุที่ว่า เพราะอะไรจึงคิดจะนำคดีนี้กลับมาสืบสวนใหม่นั่นเป็นเพราะเวลานั้น แท้ที่จริงแล้วมีหัวขโมยคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังเนินดิน เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนั้น แต่เพราะกลัวว่าจะมีปัญหามาถึงตัว ที่ผ่านมาจึงไม่กล้าพูดมาโดยตลอด
จนถึงเมื่อวันก่อน คนคนนี้เกิดล้มป่วยหนัก จึงไปแจ้งความที่กรมการพระนคร บอกว่าตัวเขาเห็นการฆาตกรรมลูกสาวของพ่อค้าอู๋เมื่อตอนนั้น แต่ช่วงเวลานั้นฟ้ามืดแล้ว เขามองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของฆาตกร
ตอนที่ฝ่าบาทกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของหวงเฉวียนก็เปลี่ยนไปหลายส่วน ส่งผลให้โสวฝู่มองเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
โสวฝู่กราบทูลถึงปฏิกิริยาของหวงเฉวียนให้ฝ่าบาทและรัชทายาทรับทราบ รัชทายาทพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ปลางับเบ็ดแล้ว”
มีคนเห็นอู๋เหวินถูกฆ่า แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมา รัชทายาทแค่กำลังใช้แผนการบีบบังคับให้หวงเฉวียนเผยพิรุธตัวเองออกมาก็เท่านั้น
เนื่องจากคดีนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว การจะรื้อขึ้นมาสืบสวนใหม่แน่นอนว่าย่อมกระทำได้ยาก หลักฐานจำนวนมากก็ถูกทำลายไปนานแล้ว ทั้งไม่สามารถตรวจสอบศพซ้ำได้ เหลือเพียงคำให้การของทุกฝ่ายซึ่งไม่อาจนำมาเชื่อมโยงกันได้ ยากจะหาทางพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเวลานั้น
วิธีที่ดีที่สุด ก็คือให้ฆาตกรเผยพิรุธของตัวเองออกมา
ส่วนทางด้านกรมการพระนคร หลังจากตรวจสอบกับพ่อแม่รวมถึงสาวใช้ของอู๋เหวินแล้ว จึงได้รู้ว่าอู๋เหวินได้มอบของมีค่าออกไปมากมาย แต่ไม่รู้ว่าให้ใคร
ในตอนแรกที่พวกเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เพราะพวกเขาไม่รู้ ในเวลานั้นพวกเขายังไม่อาจทำใจยอมรับความจริงเรื่องที่ว่า ลูกสาวของตัวเองต้องมาตายอย่างน่าอนาถเช่นนั้นได้
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งปีกว่า ๆ หลังจากที่อู๋เหวินตาย พ่อแม่ของนางก็ค่อย ๆ คลายความเศร้าโศก สามารถก้าวขาเดินออกมาจากความเจ็บปวดได้ จากนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดข้าวของต่าง ๆ ที่นางหลงเหลือไว้
ระหว่างจัดเก็บข้าวของจึงพบว่า บรรดาเครื่องประดับล้ำค่าของนางสูญหายไปหลายชิ้น ตอนนั้นยังคิดกันไปว่าถูกพวกคนรับใช้ขโมยไปขาย ยังถึงกับทุบตีคนรับใช้อย่างหนัก เพื่อให้พวกเขาสารภาพ แต่ทุกคนต่างก็บอกว่าตัวเองบริสุทธิ์
สาวใช้คนที่คอยรับใช้ข้างกายอู๋เหวินในตอนนั้น เนื่องจากดูแลปกป้องเจ้านายไม่ดีจึงถูกขายให้กับหอนางโลม พวกเขาก็ไปตามหาสาวใช้กลับมาจนได้ ก่อนจะถามว่านางขโมยไปขายใช่หรือไม่
สาวใช้สาบานว่าตนเองไม่ได้ขโมยไป บอกแค่ว่าตอนที่คุณหนูยังมีชีวิตอยู่ พวกเครื่องประดับก็มักจะหายไปทีละชิ้น ๆ อยู่เสมอ หลังจากสอบถามอย่างละเอียดแล้ว สาวใช้ถึงพูดว่าทุกครั้งที่คุณหนูออกไปพบกับหวงเฉวียน ก็มักจะบอกว่าทำของหายตลอด ทั้งยังหายไปแต่พวกของมีค่าทั้งนั้นด้วย
บวกกับเวลานั้น หวงเฉวียนก็สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาแล้ว จากนั้นจึงแต่งงานกับลูกสาวตระกูลฉู่ อีกทั้งตอนที่อู๋เหวินตายเขาก็เสียใจมาก จึงไม่อยากไปสงสัยเขา แน่นอนว่าย่อมไม่ได้ไปสอบถาม
บางทีเครื่องประดับพวกนั้นอาจจะหายจริง ๆ ก็ได้
คำพูดแบบนี้ มันสามารถใช้โน้มน้าวใจตัวเองได้ว่าไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อชีวิตของลูกสาวก็ตายจากไปแล้ว ทำไมยังต้องไปสนใจสิ่งของนอกกายเหล่านั้นด้วยล่ะ?
นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดในตอนนั้น เก็บงำเรื่องนี้ไว้ไม่ได้ไปบอกกับกรมการปกครอง
หลังจากที่อ๋องฉีได้ยินสิ่งที่พ่อแม่ตระกูลอู๋พูด ก็โกรธจนตบโต๊ะผาง “ตอนนั้นพวกเจ้าต่างก็รู้เรื่องนี้แล้วแท้ ๆ ถ้าไปบอกกรมการปกครอง ป่านนี้ก็คงคลี่คลายคดีนี้ได้ตั้งนานแล้ว”
นายท่านอู๋กลับพูดด้วยท่าทีขุ่นเคืองใจว่า “ตอนนั้นไม่ใช่ว่าจับตัวฆาตกรได้แล้วหรอกรึ? แต่เพราะทางกรมปล่อยตัวมันไป ตอนนี้มันยังลอยนวลอยู่ข้างนอกแท้ๆ ฆาตกรไม่ไปจับ กะอีแค่เครื่องประดับพวกนั้นจะนับเป็นอะไรได้?”
“หน้าโง่ ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย…..” หลังจากที่อ๋องฉีด่าพวกเขาไปยกหนึ่ง ก็เรียกคนมาส่งพวกเขากลับไปก่อน อ๋องฉีที่ทำคดีนี้มายาวนานกว่าสิบปี ในใจก็มีผลตัดสินพื้นฐานของคดีนี้บ้างแล้ว
อ๋องฉีรายงานเรื่องนี้ต่อรัชทายาท ทางรัชทายาทก็เริ่มดำเนินแผนการของชาวประมงขึ้นอย่างเป็นทางการ
วันนี้ที่จวนของรองเจ้ากรมหวง มีแขกไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยือนถึงที่ บอกว่าต้องการพบท่านรองหวง ถ้าไม่ได้พบ ท่านรองจะต้องรับผิดชอบกับผลที่จะตามมา
เดิมทีหวงเฉวียนถูกเรื่องของคดีนี้ทำให้อารมณ์ไม่สู้ดีนัก เมื่อได้ยินว่าคนที่มาเล่นใหญ่ใส่อารมณ์เสียขนาดนี้ หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาหลายส่วน ในที่สุดก็ได้พบกับคนคนนั้นเสียที
แขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้สีหน้าขาวซีด ราวกับว่าป่วยหนัก ร่างกายดูมีสภาพที่อ่อนแออย่างยิ่ง แต่กลับแสดงท่าทางหยิ่งผยอง หลังจากได้พบหวงเฉวียน ก็เรียกร้องขอคุยกับหวงเฉวียนเพียงลำพัง ต้องการให้ไล่คนรับใช้ทั้งหมดออกไปก่อน
หวงเฉวียนยกมือขึ้นทำสัญญาณให้คนรับใช้ถอยออกไป คนผู้นั้นนั่งลงมองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ ว่า : “ใต้เท้าหวง เจ้าอาจไม่เคยเห็นหน้าของข้าน้อย แต่ข้าน้อยกลับคุ้นเคยหน้าตาของใต้เท้าหวงยิ่งนัก สิบกว่าปีเหมือนผ่านไปแค่หนึ่งวัน ลืมไม่ลงเลยจริง ๆ จะดีจะชั่วเราก็รู้จักมักจี่กันมาตั้งหลายปีแล้ว วันนี้ข้าป่วยหนักไม่มีเงินรักษาตัว เลยคิดว่าอยากจะมาถามขอค่ารักษาจากใต้เท้าหวงสักหน่อย คิด ๆ ดูใต้เท้าหวงตอนนี้ก็เป็นถึงรองเจ้ากรมไปแล้ว เงินแค่ห้าหมื่นตำลึงก็คงจะหยิบฉวยออกมาได้อย่างง่ายดายสินะ?”
บทที่ 2010 ฆาตกร
บทที่ 2012 สำเร็จ