บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2013 แม่ทัพใหญ่ถูกหยุดไว้เสียแล้ว
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 2013 แม่ทัพใหญ่ถูกหยุดไว้เสียแล้ว
บทที่ 2013 แม่ทัพใหญ่ถูกหยุดไว้เสียแล้ว
ที่กรมการพระนคร อ๋องฉีกับรัชทายาทรออยู่นานแล้ว คืนนี้แผนการของชาวประมงได้เริ่มดำเนินการแล้ว คนในกรมจึงพากันทำงานล่วงเวลาเพื่อรอคอยเหยื่อที่จะตกได้
เมื่อเห็นเฉินต้าหลงหิ้วคอหวงเฉวียนเข้ามา อ๋องฉีก็ออกคำสั่งว่า “จับตัวหวงเฉวียนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
เจ้าหน้าที่หลายคนรีบวิ่งขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะคุมตัวหวงเฉวียนไว้ หวงเฉวียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ข้าเป็นขุนนางของราชสำนักนะ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? อ๋องฉี นี่ข้าไปทำให้ท่านขุ่นเคืองใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้ทำให้ข้าขุ่นเคืองใจอะไร เจ้าแค่ฆ่าคนเท่านั้น” หลังจากอ๋องฉีตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับรัชทายาท ประสานมือแล้วโค้งคำนับให้เฉินต้าหลง “แม่ทัพใหญ่เฉินเดินทางมาไกล ยังไม่ทันได้จิบชาสักคำก็ต้องมาห่วงใยเรื่องแย่ ๆ ของเป่ยถังเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าละอายยิ่งนัก คืนนี้ในวังจัดงานเลี้ยงฉลอง พวกเรามาร่วมดื่มกันให้เมามายสักยกเถอะนะ”
หวงเฉวียนตกใจจนผงะ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เห็นแค่เฉินต้าหลงฉีกหน้ากากบนใบหน้าของเขาออก เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลางามสง่าดวงหนึ่ง
เขาเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน นั่นคือแม่ทัพใหญ่เฉินจิ้งถิงแห่งต้าโจว ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่เป่ยถัง เขาเองก็เคยได้รับโอกาสไปคารวะแม่ทัพผู้นี้เช่นกัน
แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงยิ้มแย้ม “แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเกรงใจหรอก ชานี้พวกเจ้าลองตรวจสอบดูดี ๆ ในนี้มีสารหนูผสมอยู่ สายตาของข้าไม่น่าจะมองผิดพลาด เรื่องคดีข้าขอไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ข้าต้องเข้าวังไปหาเพื่อนเก่าผู้นั้นของข้าแล้วเขายังไม่รู้เลยว่าข้ามาที่นี่”
รัชทายาทพูดว่า “ข้าจะไปส่งท่านแม่ทัพเข้าวังเองขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก ช่วงนี้ข้าชอบเล่นอะไรที่มันลึกลับชวนระทึกใจน่ะ เลยอยากให้เขาประหลาดใจเสียหน่อย” แม่ทัพใหญ่เฉินพูดจบ ก็สาวเท้าก้าวยาว ๆ ออกไป
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านควรเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยหรือไม่?” อ๋องฉีร้องตะโกนถามไล่หลัง
“นั่นไม่จำเป็นหรอก ชุดนี้น่าสนุกออก” เสียงของแม่ทัพใหญ่ดังมาจากที่ไกล ๆ
เขาพาครอบครัวมาถึงเมืองหลวงเมื่อวาน ถูกกู้ซือผู้ที่ช่วงนี้มีหน้าที่เฝ้าประตูเมืองพบเข้า เดิมกู้ซือ หวังจะอาศัยพึ่งใบบุญของเขาสร้างความชอบชดเชยความผิด ด้วยการพาเขาไปพบฝ่าบาท แต่คิดไม่ถึงว่า พวกเขากลับบอกว่าจะไปที่จวนอ๋องหวยก่อน
ประจวบกับที่เมื่อคืนนี้หยวนหย่งอี้ก็ไปคุยเล่นอยู่กับหรงเยว่ที่จวนอ๋องหวยพอดี แล้วก็พูดถึงคดีนี้ขึ้นมา แม่ทัพใหญ่มาถึงพอดี หลังจากได้ฟังแผนการของพวกเขาแล้ว ก็รู้สึกสนใจมาก จึงขันอาสาขอเล่นเป็นเฉินต้าหลงเอง
มาตอนนี้ดูเหมือนว่า จะเสพติดการเล่นสนุกมากเกินไปหน่อยซะแล้ว
เขาคิดจะแกล้งให้เจ้าห้าตื่นตระหนกตกใจสักหน่อย ดังนั้นจึงกำชับอ๋องหวยกับหรงเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าอย่าบอกเจ้าห้าเด็ดขาด
เวลานี้ประตูวังปิดไปนานแล้ว ถ้าจะเข้าวัง ก็ต้องใช้เส้นทางที่ไม่ปกติ โชคดีที่แม้ว่ากำแพงวังจะสูงมากก็จริง แต่การจะให้เขาข้ามผ่านเข้าไปก็ไม่ใช่ปัญหา ทั้งยังทำได้เงียบกริบไร้ร่องรอย ไม่ถูกคนพบเห็นได้โดยง่าย
ถ้าจู่ ๆ ก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าห้าแบบเทพไม่รู้ผีไม่เห็นแบบนี้ จะทำให้เขาตกใจหรือไม่นะ?
บนใบหน้าหล่อเหลางามสง่าของแม่ทัพใหญ่ ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมารอยหนึ่ง
เมื่อมาถึงวัง สิ่งปลูกสร้างรูปลักษณ์น่าเกรงขามแลดูเคร่งขรึมนั้น คล้ายว่ากำลังนอนหลับใหลอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดประตูวังอยู่เบื้องล่างแล้วเขากระโดดข้ามผ่านไปอย่างง่ายดาย กำลังจะข้ามกำแพงวังไปได้อย่างเงียบเชียบ
ทันใดนั้น มีลมแรงสายหนึ่งพัดกระหน่ำเข้ามา ถัดจากนั้นแค่ชั่วพริบตา กระบี่ที่มีประกายแสงเย็นเยียบพลันวาดเข้าใส่ท่อนแขนของเขา เสียงกระแทกดังสนั่นลำแสงสีทองสาดวาบกระจาย เสื้อของเขาขาด กระบี่ของอีกฝ่ายม้วนสะบัด
ในแสงสลัว เห็นเพียงหนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพง ในมือถือกระบี่ ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นเต็มไปด้วยความระแวดระวังและความเป็นศัตรู มีนกฟีนิกซ์เกาะอยู่บนไหล่ของเขาตัวหนึ่ง ท่าทางของนกฟีนิกซ์ตัวนั้นดูผ่อนคลายสบายอารมณ์มาก
“ผู้ที่มาเป็นใครกัน!” เด็กหนุ่มถามอย่างเย็นชา “เหตุใดจึงบุกเข้าวังมาในยามวิกาลเช่นนี้?”
แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาถึงกับถูกคนพบเข้า ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นลึกลับอะไรแล้ว เขาประมาทเกินไปจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีเด็กหนุ่มที่มีสัญชาตญาณระวังภัยเฉียบคมขนาดนี้อยู่ในวังด้วย
เขาประสานมือ “เฉินจิ้งถิงแห่งต้าโจว มาพบฮ่องเต้ของพวกเจ้า”
เด็กหนุ่มคนนั้นก็คือเหลิ่งหมิงหยู่ เขาเคยได้ยินชื่อของเฉินจิ้งถิง รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของเสด็จลุงผู้เป็นฮ่องเต้
แต่ทำไมเพื่อนสนิทถึงต้องใช้เส้นทางลับ ๆ ล่อ ๆ กลางดึกด้วยล่ะ? ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ต้องขอบคุณการระวังภัยของเจ้าฟินิกซ์น้อย ที่พบว่ามีคนบุกรุกเข้ามา เขาจึงรีบออกมาหยุดไว้ได้อย่างรวดเร็ว
“เหลิ่งหมิงหยู่คารวะแม่ทัพใหญ่!” เขาประสานมือ พูดด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง: “วันหลังหากแม่ทัพใหญ่จะเข้าวัง จะให้ดีโปรดเลือกเวลากลางวันจะดีกว่า หากไม่ใช่ตอนกลางวัน อย่างไรก็ต้องเคาะประตูหลักของวังตามพิธีการ ถึงแม้ว่าประตูวังจะไม่เปิด แต่หากท่านแจ้งความประสงค์ พวกเรารู้แล้ว ย่อมจะไม่มาหยุดยั้งท่านไม่ให้ใช้วิชาตัวเบาเหินเข้ามาเป็นแน่”
แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงถูกอบรมจนต้องก้มหัวปะหลก ๆ “จอมยุทธ์น้อยเหลิ่งพูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะจำให้ขึ้นใจ โปรดพาข้าไปพบฝ่าบาทด้วย”
“ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดลงไปเคาะประตูก่อน” เหลิ่งหมิงหยู่พูดด้วยท่าทางที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
“เคาะประตู?” ไม่ใช่บอกว่าถึงเคาะประตูก็จะไม่เปิดหรอกรึ? นี่มันหลักการอะไรกันล่ะนี่!
แต่เขาก็ยังเหินกายลงมา เคาะประตูวังก่อน รอจนถึงตอนที่ประตูวังค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของเหลิ่งหมิงหยู่พูดขึ้นจากบนหัวว่า “เชิญท่านแม่ทัพใหญ่เหินเข้ามาได้”
แม่ทัพใหญ่ถึงกับหลุดหัวเราะ “เหินขึ้นไป? เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เจ้าก็แค่ปล่อยให้ข้าเหินเข้าไปตรง ๆ เลยก็จบแล้วไม่ใช่รึ?”
“แบบนั้นไม่ได้ กฎก็คือกฎ” เหลิ่งหมิงหยู่เก็บกระบี่เข้าฝัก ประสานมือ “ท่านแม่ทัพใหญ่ ขอเชิญท่านเริ่มเหินได้เลยขอรับ”
แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงเหินร่างขึ้นไป พิศมองใบหน้าที่จริงจังหล่อเหลาของเขา “เจ้าชื่อเหลิ่งหมิงหยู่ พ่อของเจ้าคือเหลิ่งจิ้งเหยียนสินะ?”
จำได้ว่าตอนที่มาเมื่อครั้งก่อน ก็เห็นเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว แต่ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่มาก
“พ่อของข้านามเหลิ่งจิ้งเหยียน พ่อบุญธรรมนามหงเย่ขอรับ”
“ฝากแสดงความเคารพต่อพวกเขาในนามของข้าด้วยล่ะ” แม่ทัพใหญ่รู้สึกชื่นชมจากใจ คนที่สามารถสั่งสอนเด็กเช่นนี้ออกมาได้ ก็คงจะมีเพียงเหลิ่งโสวฝู่เท่านั้นแล้วจริง ๆ
บทที่ 2012 สำเร็จ
บทที่ 2014 นางสมควรอยู่ให้ห่าง