บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2033 ไปถึงสนามรบ
บทที่ 2033 ไปถึงสนามรบ
แคว้นต้าโจวตรงไปตรงเป็นอย่างยิ่ง ได้เสนอเงื่อนไขหนึ่งข้อ ก็คือให้พวกเขาทำให้กองกำลังทหารของแคว้นต้าโจวยิ่งใหญ่ขึ้น
ตอนแรกหยู่เหวินเซียวยังคงสงสัยอยู่ บอกว่าทหารของแคว้นต้าโจวแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากแล้ว ทำไมต้องให้พวกเขาทำให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก
แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจ เมื่อประเทศมีความแข็งแกร่งในระดับที่แน่นอนแล้ว ประเทศชาติสงบสุข ขุนนางมากมายก็จะไม่ให้ความสำคัญกับเหล่าทหารนัก คิดว่าการทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตสำคัญกว่าทุกสิ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องหลีกทางให้กับเรื่องเศรษฐกิจ ความแข็งแกร่งของกองทัพต้องใช้เงินในการสนับสนุน มีขุนนางที่ไม่มีวิสัยทัศน์คิดว่าไม่จำเป็นต้องเสียเงินทองมากมายให้กับกองทัพ
ฉะนั้น พูดให้ชัดเจนก็คือ เขาไม่ได้ไปช่วยทำให้กองกำลังทหารของแคว้นต้าโจวให้แข็งแกร่งขึ้น แต่เป็นการคอยจับตาดูกองทัพของแคว้นต้าโจวตลอดชีวิต คอยย้ำเตือนทุกคนตลอดว่า กองทัพสำคัญแค่ไหน
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การขายชีวิตของตนเอง ต้องขายนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับชีวิตของเขายืนยาวแค่ไหน
และหยู่เหวินเซียวเองก็ได้ฟังการวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของแคว้นต้าโจวในปัจจุบัน จากแม่ทัพใหญ่เจินขณะที่เดินทาง จึงรับรู้ว่าตนเองต้องขายตัวตลอดชีวิตอย่างแท้จริง
แต่ว่า วินาทีนั้นเขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด ขายตัวก็ขายตัวซิ ตลอดชีวิตแล้วอย่างไร ขอเพียงสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้
กองทัพเคลื่อนพลไวมาก ที่จริงพวกเขาเหนื่อยจนแทบจะขาดใจแล้ว ตั้งแต่คลานออกมาจากทะเลสาบจิ้ง ก็ไม่เคยได้หยุดพักเลยอาศัยอยู่ในวังสามวัน แม้ว่าจะมีอาหารมากมายส่งมาให้ แต่พวกเขาก็กินไม่ลงจริงๆ
ฉะนั้นหลังจากเคลื่อนพลแล้ว ความหิวที่ซ่อนตัวอยู่ภายในลึกๆก็ปะทุขึ้นมา แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังกินไม่ลงอยู่ดี ร้อนใจราวกับถูกทอดอยู่ในกระทะน้ำมัน ที่เดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา หากช้าลงสักนิดก็อาจจะเกรี้ยวกราดได้
เขาได้ส่งสายสืบออกไปหนึ่งกลุ่ม โดยใช้ม้าเร็วที่สุดในการล่วงหน้าไปสืบข่าวการทหารก่อน
การเคลื่อนพลในฤดูหนาวนั้นลำบากมาก หิมะปกคลุมไปทั่ว เหน็บหนาวอย่างผิดปกติ
แต่ว่าทหารของแคว้นต้าโจวได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เชื่อฟังคำสั่ง แม้จะเป็นการยืมทหารแต่ก็ไม่ย่อหย่อน ใช้ความกล้าหาญเหมือนปกป้องประเทศชาติของตนเอง อดทนต่อความหนาวติดตามเขามุ่งหน้าไปยังเป่ยถัง
เมื่อเหยียบย่างเข้าไปในแผ่นดินเป่ยถัง น้ำตาของพวกเขาก็ไหลพรากทันที แต่น้ำตากลับแข็งค้างอยู่บนใบหน้าอย่างรวดเร็ว
ตลอดเวลาที่เดินทางไปข้างหน้า การรายงานของสายสืบทำให้พวกเขายิ่งร้อนใจมากขึ้น เป่ยถังรบแพ้อีกครั้งแล้ว ฮ่องเต้ฮุยจงที่ออกมานำทัพเองก็ถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บ ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนกับผิงเล่อกงก็ออกรบด้วย เป่ยถังมาถึงขั้นเข้าตาจนแล้วจริงๆ ขอเพียงเป็นทหารที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ ล้วนต้องออกรบทั้งสิ้น
ตอนที่กองทัพหยุดพัก โล่หมันไม่เห็นหยู่เหวินเซียว ตามหาตัวเขาเกือบครึ่งชั่วยาม จึงเห็นว่าเขาไปหลบร้องไห้อยู่ที่เชิงเขาเล็กๆลูกหนึ่ง
เดิมทีโล่หมันก็ตามหาเขาพลางร้องไห้ไปด้วย เห็นว่าเขาร้องไห้อยู่ ก็ยิ่งทนไม่ไหว กอดเขาและร้องไห้เสียงดังออกมา
นางเคยเห็นเขาร้องไห้ที่ไหนกัน ไม่ว่าจะเจอกับความยากลำบากมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเจอภัยอันตรายเท่าใด เขาก็มีวิธีการรับมือเสมอ
แต่ตอนนี้
พวกเขาแทบอยากจะติดปีกให้กับกองทัพจำนวนสามแสนนายทันที เพื่อให้พวกเขาได้บินไปอย่างรวดเร็ว
แต่ความจริงแล้วพวกเขาได้แต่เดินต่อไปเช่นนี้เท่านั้น ฝ่าลมหิมะเดินไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ช้ามากนัก แต่ก็ทำให้พวกเขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อผ่านการร้องไห้แล้ว พวกเขาก็เริ่มคุยกัน
เขาบอกว่าตั้งแต่ได้ยินท่านพ่อตาพูดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็ไม่สามารถนอนหลับได้เลย แต่หลับตาลงก็เห็นภาพที่เขาบอกว่าคนของหอจัยซิงที่ออกรบต้องตายกันหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา รู้สึกกลัวมาก กลัวว่าจะล่าช้าเกินไป แม้ว่าสุดท้ายจะได้รับชัยชนะ ก็รักษาชีวิตของพวกเขาไว้ไม่ได้
แม้ว่าตอนนี้สายสืบจะกลับมารายงานแล้ว ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เรื่องในสนามรบ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ใครจะไปรู้ว่าวินาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากร้องไห้แล้ว ก็รู้สึกอ่อนแอลง แค่เกราะป้องกันในหัวใจพังทลายลง ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นทุกครั้งที่สายสืบกลับมารายงาน พวกเขาต่างก็ใจเต้นแรงมาก มีความรู้สึกเย็นวูบราวกับกำลังจะเผชิญกับความตาย หลังจากฟังรายงานของสายสืบแล้ว พวกเขาก็เริ่มมีเหงื่อไหลท่วมตัว
ความรู้สึกหวาดกลัวราวกับยืนอยู่บนลวดเส้นบางๆกลางอากาศอยู่ในใจของพวกเขาตลอดกระทั่งไปถึงสนามรบ
ในขณะที่พวกเขาควบม้าเข้าไปในสนามรบ สายตาได้กวาดมองหาเงาร่างที่คุ้นเคย จากนั้นก็สั่งบุกทันที
ทุกคนที่หอจัยซิงที่คุ้นเคย แต่กลับรู้สึกแปลกหน้า เพราะพวกเขาต่างก็ต่อสู้จนสภาพยับเยิน ผมเผ้ารุงรัง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าแข็งกระด้าง กลายเป็นรอยกระดำกระด่าง
ในขณะที่ยกแส้ขึ้นมาร้องตะโกนฟาดฟันนั้น ในใจของหยู่เหวินเซียวคิดว่า หลังสงครามจบแล้ว จะปลดประจำการพวกเขา ให้พวกเขาได้ไปใช้ชีวิตของตนเอง ไม่ต้องมาจองจำอยู่ในหอจัยซิงอีก
ถ้ายังอยู่ในหอจัยซิงต่ออีกหนึ่งวัน พวกเขาก็อาจจะต้องเสียสละชีวิตของตนเองอีก
ความทรมานในจิตใจตลอดการเดินทางมานี้ เขาไม่อยากจะรับรู้อีกแล้ว แค่ครั้งเดียวก็มากพอแล้ว
เมื่อกองทัพของแคว้นต้าโจวมาถึง กองทัพที่แพ้ยับเยินของเป่ยถังราวกับได้รับยาชูกำลัง ยกดาบขึ้นมาบุกไปข้างหน้าทันที มีคนมากมายในนั้นที่บุกเข้าไปหาศัตรูพร้อมกับน้ำตา หยู่เหวินเซียวกับโล่หมันไม่เห็น แต่มีคนอื่นเห็น แล้วเล่าให้พวกเขาฟังในทีหลัง
และโล่หมันที่เห็นองครักษ์เงาดำที่ได้รับบาดเจ็บ ก็รีบวิ่งไปหาเขาคำพูดแรกของเขาทำให้นางใจสลาย
เขาบอกว่า “ข้าตายแล้ว ฉะนั้นจึงได้มองเห็นเจ้า ใช่หรือไม่”
คำพูดที่สองของเขาก็คือการด่าทอ เขาบอกว่าพวกเขาไม่ใช่คน
ชั่วพริบตานั้น โล่หมันก็นึกถึงคำพูดของพ่อที่บอกถึงจุดจบขององครักษ์เงาดำ ว่าจะต้องถูกสับเป็นชิ้นๆ และเผาจนเป็นผุยผงนางก็ปวดใจมาก โชคดีที่ยังได้ยินเสียงของเขา ถูกเขาด่าจนตายก็คุ้มค่า