บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2046 ไปหาหมอ
บทที่ 2046 ไปหาหมอ
ไม่คุ้มต่อการรอคอย ยังมีน้ำนมของน้ำ
ดื่มน้ำต้มไก่ลงไป พยายามบีบอีกตั้งนาน ก็ยังไม่มีสักนิด
มียุ้งฉางเปล่าสองแห่ง กลับไม่มีเมล็ดข้าวสักนิด เปล่าประโยชน์เสียจริงๆ
โชคดีที่หมาป่าหิมะมาแล้ว ไม่อย่างนั้นลูกคงอดตายตั้งแต่คลอด บุกป่าฝ่าดงเดินทางไกลกลับเมืองหลวง จะจ้างแม่นมนั้นเป็นไปไม่ได้ ลูกเล็กขนาดนี้ จะให้กินน้ำข้าวก็คงไม่ดีมั้ง?
โล่หมันรู้สึกว่าตนเองเป็นแม่ กลับเพียงแค่มีช่วงตั้งครรภ์เท่านั้น ไม่สิ ช่วงตั้งครรภ์ก็สั้นมาก อย่างน้อยรู้ตัวว่าตนเองตั้งครรภ์นั้นเป็นเวลาสั้นมาก
ไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไรเลย
คิดดูแล้วก็ทรมาน
ทรมานอยู่สักพัก นางนิ่งอึ้ง โอ้พระเจ้า คงไม่ได้เป็นภาวะซึมเศร้าหลังคลอดมั้ง?
เพิ่งซึมเศร้าอยู่สักพัก ข้างหน้าก็บอกว่าจะเดินทางต่อแล้ว ควรขึ้นรถม้าก็ขึ้นรถม้า ควรเข้ารถคุกก็เข้ารถคุก
หยู่เหวินเสียวเข้ามาอุ้มโล่หมัน องครักษ์เงาดำกับองครักษ์ฟ้าผ่าเข้ามาอุ้มลูกน้อย ทั้งสามแม่ลูกถูกส่งไปบนรถม้า
ในฐานะที่เป็นคุณแม่หลังคลอดไม่นานคนหนึ่ง โล่หมันได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาเตียงผ้าห่มนุ่มมาจากไหน วางรองไว้ในรถม้า ส่วนเก้าอี้ในรถม้าถูกรื้อออกจนหมด ดังนั้น ทั้งรถม้ากลายเป็นเหมือนเตียงขนาดเล็ก
เสี่ยวอาเหลียงกับเสี่ยวเตาวางบนเตียงแล้วก็นอน หน้าเรียวเล็กชัดเจนขึ้น สามารถมองรู้ว่าเหมือนใครแล้ว
ดวงตาเหมือนนาง ส่วนอย่างอื่นเหมือนพ่อ
โล่หมันยังรู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริง ก่อนออกมาจากเมืองหลวงแคว้นต้าโจว นางเป็นแม่ทัพหญิงที่งานยุ่งคนหนึ่ง ตอนนี้กลับเมืองหลวง กลับมีเจ้าตัวเล็กสองคน กลายเป็นแม่คนแล้ว
อีกอย่าง คิดมาตลอดว่าตนเองท้องลูกคนเดียว คลอดออกมากลับมีสองคน นี่เป็นความรู้สึกอย่างไรล่ะ?
เหมือนไปซื้อของ แล้วได้ของแถมมาด้วย
แต่ของแถมอันนี้ ก็ต้องใช้ตัง ดังนั้นจึงเหมือนซื้อลูกสุนัข แล้วแถมแมวมาหนึ่งตัว
หยู่เหวินเสียวเดินไปได้สักพัก แล้วก็มาดูลูกกับแม่ของลูกแปบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา แลดูเคร่งขรึมจริงจัง แต่มุมปากยิ้มแย้ม ดังนั้น อารมณ์ความรู้สึกของเขาตอนนี้ขัดแย้งอย่างมากทั้งมีความสุขทั้งคิดหนัก
องครักษ์เงาดำก็ผลัดกันมาดู
ในที่สุดตอนกลางคืนก็สามารถเข้าที่พักแล้ว แต่ก่อนที่ฟ้าจะมืด กลุ่มซื้อของรีบเข้าไปในเมือง ซื้อผ้าห่มผืนเล็ก เสื้อผ้าทารก หมวกทารก ยังไงก็ต้องให้เด็กน้อยมีเสื้อผ้าใส่อย่างดีไม่ใช่หรือ?
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนค่อนข้างเป็นกังวลก็คือ ทารกน้อยไม่เคยร้องไห้เลย และก็ไม่เคยส่งเสียงร้องอะไรออกมาให้ได้ยินเลยกระทั่ง ตอนที่อุ้มอยู่ในมือก็ไม่ค่อยขยับ ท่าทีเกียจคร้านอย่างมาก
ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า?
เพราะตัวของพวกเขาก็ดูเล็กกว่าเด็กทารกปกติทั่วไป เมื่อก่อนพวกเขาเคยเห็นหยุนเยียนกับชิงชิงเพิ่งคลอดลูกครั้งนั้น ตัวหนักกว่านี้ ตัวโตกว่านี้
แต่ไม่ว่าจะหยอกเล่นยังไง ก็ไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ และก็ไม่ส่งเสียงใดใด
คืนวันที่สาม ในที่สุดองครักษ์เงาดำก็ทนไม่ไหว พูดสิ่งที่ตนเป็นกังวลออกมาว่า “น่าจะ” น่าจะไม่ได้เป็นใบ้ใช่ไหม?
ที่จริงวันที่สองทุกคนก็ต่างคาดเดาเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ใครก็ไม่ยอมพูดออกมา
องครักษ์เงาดำพูดขึ้นมาแล้ว ทุกคนต่างก็เงียบ เป็นกังวล
องครักษ์ฟ้าผ่าพูดขึ้นมาอย่างอ้ำอึ้งว่า “เป็นใบ้ยังดี ถ้าหูหนวกล่ะ”
เพราะเด็กน้อยไม่มีท่าทีใดใด พูดอะไรกับพวกเขาก็ไม่ตอบสนอง คงไม่ใช่เพราะไม่ได้ยินมั้ง?
องครักษ์เงาดำนั่งไม่ไหวแล้ว ไปขอฆ้องมาจากทหารประจำที่พัก และตีข้างหูเด็กน้อย
ต้องรู้ว่าคนตีฆ้องยังสะดุ้ง แต่เด็กน้อยยังคงไม่มีท่าทีใดใด ราวกับไม่ได้เงินจริงๆ
คราวนี้ แม้แต่ท่าทีหยู่เหวินเสียวกับโล่หมันก็หนักอึ้งไปด้วย
เสียงดังขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เด็กที่เพิ่งคลอดขี้ตกใจที่สุด เมื่อตกใจก็จะต้องกลัวแล้วก็ร้องไห้ออกมา
วันที่สอง พวกเขาไม่ได้ออกเดินทาง หยู่เหวินเสียวกับโล่หมันพาลูกเข้าเมืองไปให้หมอตรวจดู องครักษ์ทั้งสามก็ตามไปด้วย พวกที่เหลือเฝ้าอ๋องกบฏไว้
ตอนนี้อ๋องกบฏสงบดี เพราะไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ อ้าปากกว้างน้ำลายไหลทั้งวัน เหมือนอย่างกับคนบ้า
พวกเขาไปหาหมอเด็กที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ค่าตรวจแพงมาก แค่ตรวจชีพจรก็ต้องจ่ายตั้งหนึ่งตำลึง ค่ารักษากับค่ายาคิดต่างหาก
ค่าตรวจชีพจรหนึ่งตำลึงพวกเขามีจ่าย โชคดีที่ไปขายเห็ดแล้ว ไม่อย่างนั้นแม้แต่ค่าพาลูกไปหาหมอก็ไม่มี
หมอเป็นผู้เฒ่าอายุหกสิบกว่าแล้ว ตัวผอมร่างเล็ก หนวดยาวปกคลุมคาง ดวงตาลึก รอบดวงตาเต็มไปด้วยริ้วรอย
หยู่เหวินเสียวสองสามีภรรยากับองครักษ์ทั้งสามจ้องมองดูหมอตรวจชีพจร ตรวจเสี่ยวอาเหลีย เสี่ยวเตาไปมาหลายรอบ
จนทุกคนต่างก็ตื่นเต้นขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้ารบกวนท่านผู้เฒ่า กลัวจะทำให้เขาจะตรวจผิด
สักพัก หมอเงยหน้าขึ้นมา มองดูพวกเขาอย่างสงสัย พร้อมพูดขึ้นว่า “ชีพจรของเด็กน้อยปกติดี ร่างกายแข็งแรง เป็นเด็กแข็งแรงทั้งสองคน ดังนั้นพวกเจ้าสงสัยว่าพวกเขาป่วยเป็นอะไรหรือ?”
องครักษ์เงาดำแย่งพูดขึ้นว่า “ร้องไห้ไม่เป็น”
“อยู่ดีๆทำไมจะต้องร้องไห้?” หมอยิ่งสงสัย
“แต่ตอนที่คลอดก็ไม่ร้องไห้”
พวกเขาไปหาหมอเด็กที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ค่าตรวจแพงมาก แค่ตรวจชีพจรก็ต้องจ่ายตั้งหนึ่งตำลึง ค่ารักษากับค่ายาคิดต่างหาก
“คนไม่อยากร้องไห้ก็ไม่ร้องไห้ มีอะไรน่าแปลก? ใครกำหนดว่าเด็กคลอดออกมาจะต้องร้องไห้?”
ทุกคนได้ยินแบบนี้ ก็รู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผล
“แต่เขาก็ไม่ได้ยิน” หยู่เหวินเสียวรีบพูดขึ้น
หมอสั่งคนไปเอาฆ้องอันเล็กมา ตีข้างหูเด็กน้อยสองครั้ง เด็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาอะไร
“ดูสิ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย” หยู่เหวินเสียวพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล
หมอพูดขึ้นว่า “ใครบอกว่าไม่มีปฏิกิริยาอะไร? ไม่เห็นหรือว่าดวงตาเคลื่อนไหว?”
“ใช่หรือ?” ทุกคนไม่ได้สังเกตดวงตา องครักษ์เงาดำพูดแย้งว่า “แต่แค่ตาเคลื่อนไหวก็ถือว่ามีปฏิกิริยาหรือ?”
หมอบอกว่าอืม มองดูองครักษ์เงาดำ พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงจะคิดแบบนั้นไม่ได้ล่ะ?”