บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2048 ยืนหยัดอำนาจในการตั้งชื่อ
บทที่ 2048 ยืนหยัดอำนาจในการตั้งชื่อ
ในเมื่อไม่เป็นไร งั้นก็เดินทางต่อ….ออกเดินทางเถอะ
ไม่นานทุกคนก็พบว่าเด็กน้อยหูไม่หนวก เพราะทุกครั้งตอนที่โล่หมันเรียกหมาป่าหิมะมาป้อนนม เด็กๆต่างรอคอย มือเท้าแกว่งไปมา
ทุกครั้งที่ดื่มนม ทุกคนคุกเข่าลง ภายในสามวงกลม วงนอกสามวงกลม เป็นภาพที่น่ามองมาก เด็กน้อยดื่มจนแก้มป่อง มีความกระฉับกระเฉงอย่างมาก
โล่หมันคิดว่าตนเองควรที่จะพยายามหน่อยไหม ดื่มน้ำแกงให้เยอะๆหน่อย จะได้มีน้ำนมให้ลูก แต่ก็ถูกทุกคนปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน
เพราะหมาป่าหิมะป้อนนม พวกเขาสามารถล้อมวงดู พี่หมันให้นมลูก….ก็สามารถล้อมมองดู แต่ท่านอ๋องคงไม่ยอม
โล่หมันก็จริงๆเลย….ถ้าไม่มีเงื่อนไขด้านวัตถุก็ไม่อาจที่จะทำงานได้ดีจริงๆ ดื่มน้ำแกงไปไม่น้อย ส่วนน้ำนม ก็มีเพียงน้อยนิด ลองให้นม แต่ลูกน้อยพยายามดูดนมก็ไม่ได้ดื่มนม หันหน้าไปร้องไห้ สุดท้ายจึงต้องอุ้มกลับมาให้หมาป่าหิมะ
แล้วก็รีบดื่มขึ้นมาอย่างมีความสุข
โล่หมันดูเศร้าสร้อยอย่างมาก แต่องครักษ์เงาดำบอกนางว่าไม่ต้องท้อ ด้วยสุขภาพของนาง หากให้นมด้วยตนเอง ต่อไปจะกลายเป็นไข่ดาว และเป็นไข่ดาวทั้งคู่
คำพูดประโยคนี้ทำให้โล่หมันตกใจอย่างมาก องครักษ์เงาดำคนนี้ถึงแม้จะพูดจาไม่น่าฟัง แต่พอมีความรู้ในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะความรู้ที่เกี่ยวกับผู้หญิง เขาศึกษามาค่อนข้างดี
ไม่ให้นมลูกก็ไม่ให้สิ ยังไงก็มีไม่เยอะ เดี๋ยวจะเสียรูปร่าง ทำงานอะไรก็ลำบาก
หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง เอาอ๋องกบฏให้กับทางการ
อ๋องกบฏกรามหักไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่หาย พูดอะไรไม่ได้ น้ำลายไหลอย่างเดียว
ทางด้านกรมการพระนครถามสถานการณ์ แต่ทหารหอจัยซิงต่างก็พูดว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ว่ายังไงทั้งด้านนั้นก็เคยไต่สวนแล้ว มาถึงเมืองหลวงก็เหลือเพียงขั้นตอนตัดหัวเท่านั้น หากหัวสมองยังอยู่ แสดงว่าภารกิจจบสิ้นแล้ว
ไทเฮาแคว้นต้าโจวรู้ว่าโล่หมันคลอดลูก ก็ประทานของมาให้เยอะมาก จำพวกสร้อยหยกทองคำ สร้อยอายุยืน ผ้าไหม ผ้าห่ม ยังประทานจวนให้ด้วย
ตอนที่ยังไม่มีลูก พวกเขาไม่มีจวนเป็นของตัวเอง หากไม่อาศัยอยู่ในค่ายทหาร ก็อาศัยอยู่ในที่พักรับรอง
แต่ตัวนี้ก็อยู่ได้เท่านั้น ขายไม่ได้ ดังนั้นทุกคนจึงเห็นว่าไม่มีอะไรน่าดีใจ อยู่ที่ไหนก็อยู่เหมือนกัน?
มีบ้านเป็นของตัวเอง ค่าใช้จ่ายก็สูง พักอาศัยอยู่ที่นี่แล้วขี่ม้าไปทานข้าวในค่ายทหารก็ดูไม่ดี
ส่วนหมาป่าหิมะเมื่อส่งกลับมาถึงเมืองหลวง ก็เหลือเพียงแม่หมาป่าหิมะสองตัวอยู่ให้นม ที่เหลือก็เริ่มเดินทางกลับ กลับไปยังเป่ยถัง
กลับไปครั้งนี้ เพราะไม่ต้องเร่งรีบ ดังนั้นพวกมันสามารถหาอาหารระหว่างทางกลับไป ไม่ต้องอดอยากหิวโหย
หมาป่าหิมะกลับไป โล่หมันรู้สึกทำใจไม่ได้ มีหมาป่าหิมะอยู่ด้วย รู้สึกเหมือนมีคนในครอบครัวอยู่ด้วย และยังเป็นคนในครอบครัวที่ไม่พูดบ่น
ไทเฮาหลงเป็นคนดีมาก ส่งแม่นมมาให้สองคนเพื่อดูแลเด็กน้อยโดยเฉพาะ ช่วยบรรเทาความยากลำบากของพวกเขาได้อย่างมาก
พวกเขาคนเยอะ แต่ไม่มีใครเลี้ยงเด็กเป็น
ไทเฮาหลงคิดได้อย่างรอบคอบ ยังให้หมอหลวงมาตรวจสุขภาพให้กับพวกเด็กๆอย่างครบถ้วน สายสะดือนั้น หมอหลวงไม่พอใจอย่างมาก ใส่ยาพันไว้อีกครั้ง
ต่อไปถึงแม้จะยาวหน่อย แต่ตอนนี้หวังว่าจะสามารถพันให้หดลงไปบ้าง เด็กผู้ชายไม่เป็นไร เด็กผู้หญิงก็จะค่อนข้างน่าเกลียดหน่อย
พวกเขาเริ่มต่างบอกปัดความรับผิดชอบ หยู่เหวินเสียวเอาความผิดทั้งหมดโยนไปให้พวกเขา บอกว่าทั้งๆที่ไปถึงในหมู่บ้านแล้ว ทำไมไม่เอากรรไกรมาด้วย?
องครักษ์เงาดำคิดว่า นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกรรไกรเลย หากให้เขาเป็นคนตัด จะต้องสามารถตัดให้ราบเรียบได้
องครักษ์ฟ้าผ่าได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็พูดเถียงขึ้นว่า หากเขามีความสามารถเช่นนี้ ทำไมเป็นคนอุ้มเสี่ยวอาเหลียงออกมาก่อน ทำไมเขาไม่ตัดดูสักครั้ง?
เถียงกันไปเถียงกันมา แล้วทุกคนก็เห็นว่านี่น่าจะเป็นความผิดของพี่หมัน ไม่ใช่ปัญหาของคนที่ไม่แม่น เพราะนางตั้งครรภ์ไม่เป็นไปในทิศทางที่ดี ดังนั้นจึงทำให้ตัดสายสะดือได้ไม่ดี
เมื่อเอาความผิดทุกอย่างโยนมาให้โล่หมัน หยู่เหวินเสียวจึงจำเป็นต้องยอมรับถึงความผิดของตนเอง ตอนนั้นเขามือสั่น เป็นความผิดของเขา แต่ถ้าหากมีกรรไกรก็จะไม่เหมือนกัน
ตอนที่ยอมรับผิด ยังจ้องมองถลึงตาให้กับองครักษ์เงาดำ
องครักษ์เงาดำจึงพูดขึ้นมาอีกว่า ดาบกับกรรไกรไม่มีความแตกต่างกัน หากคนคนหนึ่งมือพลั้ง ให้อาวุธอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ หากฝีมือดี ต่อให้ใช้ใบไม้ก็สามารถตัดสายสะดือได้
โล่หมันขี้เกียจที่จะสนใจคนพวกนี้ ในฐานะที่เป็นคุณแม่มือใหม่ นางคิดว่าทุกอย่างที่ตนเองผ่านประสบการณ์มา พวกเขาเทียบไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ก็เทียบไม่ได้ นางยกระดับขึ้นไปแล้ว พูดคุยกับพวกเขาไม่รู้เรื่อง
เมื่อลูกครบเดือน ในที่สุดคนของหอจัยซิงก็ได้เห็นราชครูที่รับเงินเดือนแล้วก็หายสาบสูญไปสามปีคนนั้น
และในขณะเดียวกันก็รู้ว่า พวกเขายังมีสถานะอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือนายท่านหลงสองสามีภรรยาที่เคยไปจวนอ๋องซู่
ในขณะเดียวกันก็รู้อีกว่า ที่แท้พวกเขาก็คือพ่อแม่ของพี่หมัน
เมื่อนายท่านหลงรู้ชื่อเล่นของพวกเด็กน้อย ก็โกรธโมโหอย่างมาก รู้สึกว่าคนสมองหมู ถึงสามารถคิดชื่อเล่นออกมาว่าเสี่ยวอาเหลียง เสี่ยวเตาแบบนี้
ถือเป็นการดูหมิ่นหยกสองชิ้นนี้มาก
ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง หนึ่งดาบฟันลงไป ก็เหลียงแล้วไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นจึงยกเลิกชื่อเล่นสองชื่อนี้ แล้วก็ตั้งขึ้นมาใหม่
อีกอย่าง จะให้พวกเขาตั้งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเล่นหรือชื่อจริง ล้วนจะต้องให้เขาเป็นคนตั้ง
ทุกคนคิดว่า นายท่านหลงทำแบบนี้เผด็จการเกินไป ต่างไม่เห็นด้วย
แต่นายท่านหลงถามหยู่เหวินเสียวว่า “เผด็จการไหม? ในฐานะที่ข้าเป็นตา ตั้งชื่อให้กับหลานไม่เหมาะสมหรือ? ไม่เป็นไปตามทำนองคลองธรรมหรือ?”
หยู่เหวินเสียวลุกขึ้นมาทันที พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “หากท่านสามารถตั้งชื่อให้กับพวกเด็กๆ นั่นถือเป็นบุญของพวกเด็กๆ”
แล้วเขาก็รีบถือไม้กระบองขึ้นมา ไล่พวกคนหอจัยซิงออกไป ใช้วิธีการสุดโต่งเพื่อปกป้องสิทธิของพ่อตาในการตั้งชื่อ