บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2054 เรื่องวันวาน
บทที่ 2054 เรื่องวันวาน
โล่หมันนึกความทรงจำต่อ ความทรงจำนั้นราวกับปมไหมที่โยงใยเป็นเส้นสาย ครั้นกระตุกก็ได้เรื่องยืดยาว
ที่สำคัญที่สุดคือ ยิ่งพูดมากก็ยิ่งได้เงินมาก ดังนั้นจึงพยายามนึกเรื่องราวที่มีคุณค่าบางเรื่องอย่างสุดความสามารถ
หาเงินยาก ดังนั้นต้องพูดให้เยอะๆ
วันถัดมาใต้เท้าจางก็มารับประทานอาหารที่จวน
บรรดาแม่ทัพของหอจัยซิงที่เดิมทีบอกว่าจะถอนขนแกะ ถึงกับมอบเงินส่วนตัวของตัวเองออกมา บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงใต้เท้าจาง
ท่านน้าทั้งหลายรู้สึกมหัศจรรย์ยิ่ง ท่ามกลางสถานการณ์ข้นแค้นนี้ พวกเขาถึงกับมีเงินเก็บด้วย?
แต่ที่ทำให้ตะลึงมากกว่านี้คือ พวกเขายังถึงกับยินดีจัดงานเลี้ยงใต้เท้าจาง
ท่านน้าหยุนถามองครักษ์เงาดำ “ยอมได้อย่างไร?”
องครักษ์เงาดำถอนหายใจ “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มีเลือดร้อนพุ่งขึ้นสมองสายหนึ่ง ท่านรีบไปซื้อของเร็วเข้าเถอะ ข้ากลัวว่าตัวเองจะกลับคำ”
กล่าวจบเขาก็จากไปก่อน เอาแต่มองเงินที่อยู่ในมือนาง ไม่เอื้อมมือไปแย่งมาก็รู้สึกปวดใจ
แต่ต้องเลี้ยงใต้เท้าจาง ยากนักที่จะมีคนมาจากบ้านเกิด แถมปกติยังเป็นสหายดื่มกินสนิทชิดเชื้อกันอีก จะประหยัดเงินพวกนี้ไม่ได้
ตกเย็นใต้เท้าจางก็มาถึง รถม้าส่งเขามา นอกจากเขาแล้วยังมีของขวัญอีกมากมาย ล้วนนำมาจากเป่ยถัง
ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้าและของเล่นเด็ก และยังมีไหสุราสองสามไหด้วย
นอกจากของเหล่านี้ ยังมีของที่หยู่เหวินอี้กับซูลั่วชิงฝากมาด้วย เป็นผ้าไหม จี้ทองและหรูอี้ ซูลั่วชิงทำชุดเด็กด้วยตัวเอง ทั้งยังให้รองเท้าหนังแกะหนึ่งคู่และเสื้อผ้าหน้าหนาวกับแม่ทัพทุกคนของหอจัยซิงคนละชุด
ครั้นเห็นของเป็นภูเขาเลากานี้แล้ว สีหน้าทุกคนก็อ่อนโยนลงมามาก ดวงตาชื้นนิดๆ อยู่ต่างแดน แม้วันเวลาจะไม่ต่างจากเป่ยถังมาก แต่พอสงบลงแล้วหัวใจกลับว่างเปล่า ราวกับจอกแหนปราศจากที่พึ่งพิง
และของเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าก็ราวกับเชือกเส้นหนึ่งที่ร้อยพวกเขากับสหายที่เป่ยถังเข้าด้วยกัน เรื่องในวันวานถาโถมเข้ามา ทั้งสุขสันต์และโศกสลดในหัวใจ
องครักษ์เงาดำที่เป็นบุรุษกักขฬะ ถึงกับเอื้อมมือไปกอดใต้เท้าจาง เอ่ย “เย่าฮุย ใช้ชีวิตให้ดี เอาไว้พวกเรากลับไปแล้วจะไปใช้เบี้ยหวัดของเจ้า”
ใต้เท้าจางถอนหายใจ รู้อยู่แล้วเชียวว่าจะดีกับพวกเขามากเกินไปไม่ได้ ต้องรักษาระยะห่างให้พอดิบพอดี
อาหารมื้อนี้ แม้ดื่มสุราหนัก แต่กลับกินเนื้อไม่หมด
ทุกคนเมามายนอนระเกะระกะอยู่ตรงพื้นลาน ไม่หวาดหวั่นต่อความเย็นยะเยียบ
“จี๋เอ๋อร์เป็นเด็กดีหรือไม่?” โล่หมันไม่ได้นอน นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ คำถามนี้ คืนนี้นางถามไปแล้วสิบครั้ง
ใต้เท้าจางก็ตอบเป็นครั้งที่สิบแล้วเหมือนกัน “เขาดีมาก บางครั้งพักอยู่ที่จวนอ๋องชาง บางครั้งก็พักอยู่ในวัง บางครั้งอยู่จวนเซียวเหยากง บางครั้งก็อยู่ที่จวนฉู่ บางครั้งอยู่ที่จวนซูกั๋วกง แต่งตั้งเป็นอ๋องผิงหนาน มีศักดินาที่ดิน ถึงจะบอกว่าไม่ได้ไปอยู่ที่นั่น แต่ภาษีที่เก็บได้ก็เป็นของเขาทั้งหมด”
โล่หมันยิ้มหวาน อื่ม มีศักดินาที่ดินมีธุรกิจ แล้วยังกินเขาไปทั่ว จี๋เอ๋อร์ถึงช่วงขึ้นสุดขีดของชีวิตแล้ว
“เขาคิดถึงข้าหรือไม่?” คำถามนี้ โล่หมันถามเป็นครั้งที่สิบเอ็ดแล้ว
“คิดถึง แต่เขารู้ว่าตัวเองจะสร้างปัญหาไม่ได้ เขาให้ข้าน้อยมาบอกว่าเขาจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟัง พี่เหว่ยกับพี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วงเขา”
“อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็ไปสอนที่วิทยาลัยเป็นบางครั้งด้วย ตงฟางซานจู่นำเขา ได้รับความเคารพจากนักเรียนมากทีเดียว”
โล่หมันยิ้มหวานอีกครั้ง อื่ม อาชีพก็ทำได้ดีมาก
“บางครั้งก็วาดภาพ ขุนนาง คหบดี พ่อค้าต่างๆ ของแคว้นต้าโจวกับแคว้นต้าซิงต่างชื่อชอบภาพวาดของเขา และยังซื้อในราคาสูงด้วยแน่ะ”
รอยยิ้มโล่หมันฉีกไปถึงหลังหูแล้ว อื่ม อาชีพรองก็ทำได้ไม่เลว ทั้งยังมีรายได้จากต่างแดนด้วย
“เขาบอกว่ารอให้พวกท่านกลับไป เขาจะซื้อของอร่อยมากมายให้พวกท่าน ตอนนี้เขามีเงินแล้ว คนที่รับใช้อยู่ข้างตัวล้วนเป็นคนที่ฝ่าบาทคัดสรรเป็นอย่างดี องครักษ์ลับผีสี่คนที่พวกท่านทิ้งไว้ตอนจะไป ตอนนี้ก็ไปไหนมาไหนกับเขา คุ้มครองรอบด้านแบบไร้ช่องโหว่”
“เขาบอกว่าต่อไปเงินที่ได้เขาจะไม่ใช่จ่ายไปเรื่อย เขาจะเก็บไว้ให้หลานชายหลานสาว อนาคตให้พวกเขาสามารถกินเนื้อย่างได้ทุกวัน”
โล่หมันกอดเข่า เอ่ยลอยๆ “ปีหน้า อย่างไรปีหน้าก็ต้องกลับไปสักครั้ง”
คิดถึงจี๋เอ๋อร์เหลือเกินจริงๆ แล้วยังมีสามตัวน้อยนั่นด้วย แม้ตอนนี้จะกลายเป็นสามตัวใหญ่แล้ว แต่ในใจนาง พวกเขายังคงเป็นเด็กน้อยที่ยังเป็นเด็กและเข้มแข็งอยู่เสมอ
ทุกคนเงียบสงบแล้ว ปล่อยให้อารมณ์คิดถึงบ้านเกิดลามไปทั่วหัวใจ ยากนักที่จะได้คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนตามอารมณ์
หลังจากนิ่งงันอยู่นานก็เริ่มสนทนากันต่ออีก
ค่ำคืนหนาวเย็นดุจธารา เข้าสู่ห้วงนิทราทีละน้อย
แสงตะวันสายแรกแห่งเช้าวันใหม่สาดส่องเข้ามาในลานบ้าน แม่ทัพทั้งหลายตื่นแล้ว กระโดดลุกขึ้นมาด้วยความแข็งแรง ซักเสื้อผ้าที่ซีดขาวห่มร่างกำยำ จากนั้นก็พากันวิ่งออกไปข้างนอก
แสงตะวันแรกต้องส่องปัสสาวะแรก นี่คือกฎ
ใต้เท้าจางมองท่าทางของพวกเขาด้วยความสะลึมสะลือ อิจฉานิดๆ
เขาค่อยๆ ลุกขึ้น ประคองเอว จามติดต่อกันสองสามครั้งแล้วจึงคัดจมูก อย่างไรก็สู้พวกเขาไม่ได้ นอนพื้นคืนเดียวก็ป่วยเสียแล้ว
ทีแรกนึกว่าพอเขาป่วย ทุกคนจะเป็นห่วงเป็นใยยกหนึ่ง อย่างไรเสียเมื่อคืนก็บอกเล่าความทุกข์นอนด้วยกันทั้งคืน
ไหนเลยจะรู้ ครั้นทุกคนได้ยินว่าเขาป่วยกลับรีบส่งแขก กลัวจะแพร่เชื้อให้พวกเขาแล้วลามสู่เด็ก
ใต้เท้าจางก่นด่ากระฟัดกระเฟียดจากไป