บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2060 ช่วงเวลาพร้อมหน้า
บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 2060 ช่วงเวลาพร้อมหน้า
งานเลี้ยงในวังไม่เร่งร้อนจัด เพราะยังมีเรื่องมากมายที่ต้องคุยกัน
หยู่เหวินเซียวคุยเรื่องในวันวานกับทุกคน เล่าเรื่องทางแคว้นต้าโจวของพวกเขาก่อน
เขาบอกกับทุกคนว่าอยู่แคว้นต้าโจวมีชีวิตที่ดีมาก ยังไม่พูดถึงว่าให้ในจวน แต่ละมื้อล้วนมีเนื้อ ในบ้านมีคนรับใช้ ชีวิตมีสาระเป็นอย่างยิ่ง
ครั้นทุกคนได้ยินดังนั้นแล้วก็ยินดีกันมาก หากไม่ใช่เพราะเห็นสีดำตรงเล็บพวกเขา ทุกคนก็เชื่อแล้ว
พวกเขาเล่าเรื่องเก็บเห็ด บอกว่าอ๋องกบฏก็เก็บด้วย ใช้เห็ดมาสยบเหล่าทหาร
ทุกคนหัวเราะชอบใจ ครั้นหัวเราะเสร็จก็เบือนหน้าไปเช็ดมุมตา น่าอนาถยิ่งนัก
พวกเขาสนทนากันประมาณสองชั่วยาม งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น
แต่นี่เป็นงานเลี้ยงที่ไม่มีฮ่องเต้ ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานจึงย่อมเป็นหยู่เหวินเซียวและโล่หมันผู้เป็นบุคคลสำคัญทั้งสอง เพื่อเป็นการลงโทษจึงยังจับพวกเขามัดมา ให้พวกเขาดูทุกคนดื่มสุรากินเนื้อ ส่วนพวกเขาก็น้ำลายสอไปเถอะ
แต่การมัดฮ่องเต้ ทุกคนทำได้อย่างไม่สะดวกใจนัก หวั่นวิตก
ดีที่หลังจากดื่มสุราสองรอบแล้ว ซูกั๋วกงก็มาด้วย หยู่เหวินเซียวกับโล่หมันจึงรีบไปคารวะ
ในฐานะที่ซูกั๋วกงเป็นคนสุดท้ายที่ออกมา ในใจมีสารพันอารมณ์เคล้าอยู่รวมกัน เฮ้อ ผอมแล้ว ดำด้วย ฟันขาวกว่าเดิม
เด็กที่คลอดใหม่นี่ก็ยังกินให้อ้วนอีกหน่อยไม่ได้ ชีวิตลำบากลำบนเพียงไร? กรรมแท้ๆ ตอนนั้นให้นางแต่งกับหยู่เหวินเซียว คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่?
เขาสะท้อนใจครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อเบนสายตาไปทางหน้าหยู่เหวินเซียวก็ค่อยๆ กลายเป็นภูมิใจอีก อื่ม เจ้าเด็กนี่ผอมแล้ว ดำด้วย แต่กลับยิ่งดูองอาจไม่ธรรมดา เรื่องที่ทำเหล่านั้นก็ทำให้คนวางใจ
ช่างเถอะ ไม่ได้แต่งงานผิด
ซูฟู่ชิงและซูฟู่เถียนบุตรชายตระกูลซูทั้งสองก็เข้ามาด้วย เมื่อได้พบปะกันก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบประมาณหนึ่ง ครั้นแล้วสายตาของทุกคนจึงเห็นฮ่องเต้เป่ยถังที่ถูกมัดอยู่
เอ๊ะ? ดูคุ้นๆ นะ ทำไมคนร้ายที่ถูกมัดอยู่จึงคล้ายคลึงกับฝ่าบาทล่ะ?
แต่เมื่อมองดูดีๆ ก็ตาค้างไป นี่มิใช่ฝ่าบาทหรือ? ฉลองพระองค์หลุดลุ่ยพระเกศายุ่งเหยิงนี่ ยังนึกว่าเป็นขอทานเสื้อแพรจากไหนเสียอีก?
องครักษ์เงาดำเดินไปอธิบายรอบหนึ่ง แม้ซูกั๋วกงไม่ได้บอกว่ามัดได้ดี แต่ในใจก็เห็นด้วยเป็นที่สุด เพียงแต่ พอประมาณก็พอแล้ว อย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ ยังต้องไว้หน้าบ้าง
หยู่เหวินเซียวมองแววตาของซูกั๋วกง แล้วจึงค่อยๆ ออกคำสั่ง “ปล่อยพวกเขาเถอะ”
ครั้นทหารรักษาพระองค์รับคำสั่ง ก็แทบจะเสือกตัวไปข้างหน้าทันที ตัดเชือกในดาบเดียว ปล่อยตัวพวกฮ่องเต้
องครักษ์เงาดำผุดลุกขึ้น ด่าทอว่า “ล่มบ้านกันจนถึงขั้นนี้แล้วหรือ? เชือกนี่จะแกะไม่ได้หรืออย่างไร? เชือกป่านดีๆ เช่นนั้น ไยต้องฟันด้วย?”
ครั้นเจ้าหกได้ยินก็หันไปตำหนิทหารรักษาพระองค์ด้วยความโมโห “เจ้าพวกล่มบ้าน หักเบี้ยหวัดเดือนนี้เป็นค่าเชือกป่าน”
ทหารรักษาพระองค์ฟางหยู่เลิ่กลั่กถอยออกไป เขามิใช่ว่าร้อนใจหรือ? ในฐานะที่เป็นองครักษ์ที่สามารถพกดาบหน้าพระพักตร์ ไม่แสดงฝีมือสักหน่อยจะได้อย่างไร? นับจากเข้าวังมาดาบนี้ยังไม่เคยได้ออกจากฝักเลย!
พวกเขาเดินกะเผลก ยิ้มแหะๆ น้องสิบแปดเอ่ย “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ลงโทษข้าสามจอก ข้าขอคารวะทุกคน”
ซูกั๋วกงเหลือบมองมา “น้องสิบแปด ไม่ใช่ลงโทษเจ้าสามจอก แต่เป็นริบเจ้าสามจอก”
ซูกั๋วกงน่าเกรงขามยิ่ง คำพูดนี้ทำจนรอยยิ้มน้องสิบแปดชะงักงันกลายเป็นยิ้มเจื่อนทันที “ได้ หักข้าสามจอก ข้าจะดื่มน้อยลงสามจอก”
“ไม่ พวกเจ้ามีแค่เหล้าสามจอกเท่านั้น พวกเจ้าถูกริบหมด” ทั้งสามมองหยู่เหวินเซียวและโล่หมันด้วยสายตาวิงวอนทันที โล่หมันวางมือไว้บนโต๊ะ “ดูสิพวกเรากำลังทำอะไร? เขาคือพ่อข้า ข้าต้องเชื่อฟังเขา ยังจะยืนทื่อกันอยู่ทำไม? มารินเหล้าให้ทุกคนสิ คนที่รวมพลวิวาทมีสิทธิ์อะไรดื่มเหล้า? ที่แก้มัดให้พวกเจ้าก็เพื่อรินเหล้าให้ทุกคนต่างหาก!”
โล่หมันก็น่าเกรงขามยิ่งเช่นกัน ทั้งสามรู้สึกขายหน้ามาก เบนสายตาวิงวอนไปทางใบหน้าองครักษ์เงาดำ
องครักษ์เงาดำหึเสียงหนึ่ง “มองข้าทำไม? นางเป็นผู้หญิง คำพูดของผู้หญิงจะไม่เชื่อฟังได้หรือ?”
จี๋เอ๋อร์ผู้ล่วงรู้ความในใจผู้คนเอ่ย “น้องสิบแปดชอบดื่มเหล้า ไม่ให้เขาดื่ม เขาต้องทรมานตายแน่ แต่พวกท่านวางใจเถอะ ข้าจะแอบเก็บไว้ให้พวกท่านหนึ่งกา”
ครั้นจี๋เอ๋อร์กล่าวจบ ก็หยิบกาที่อยู่ตรงเท้ามาแกว่ง ท่าทางยิ้มย่อง
“พี่จี๋เอ๋อร์ ซ่อนเอาไว้” เจ้าหกรีบเอ่ย
จี๋เอ๋อร์อ้อ แล้วซ่อนเอาไว้ที่เท้าทันที จากนั้นก็มองทุกคนด้วยใบหน้าบริสุทธิ์ “ข้าไม่ได้ซ่อน”
หยู่เหวินเซียวอ่อนโยนเอ่ย “จี๋เอ๋อร์ย่อมไม่ได้ซ่อน พี่เหว่ยไม่เห็น”
เขาแกว่งจากสุรา “เหล้าหมดแล้ว”
ทั้งสามผู้จมูกฟกช้ำหน้าบวมรีบไปรินสุราอย่างขยันขันแข็ง แต่ในใจรู้สึกอยุติธรรมเหลือเกิน ทุกคนนั่งปรึกษาหารือวางแผนการด้วยกันชัดๆ พวกเขารับผิดชอบแสดง ทุ่มเทอย่างมาก แต่ทำไมคนที่ได้รับการลงโทษจึงมีแต่พวกเขาสามคนเล่า?
ฉางชี่ยังมิควรเอาไปมัดด้วยหรือ?
เขานั่นแหละที่เป็นตัวการ เห็นว่าสถานการณ์ควบคุมไม่อยู่แล้วก็ไม่รู้จักเตือนสักหน่อย
ทุกคนค่อยๆ จิบสุรา ระหว่างงานเลี้ยงย่อมเป็นการสนทนาเป็นหนึ่ง เมื่อครู่เล่าเรื่องแคว้นต้าโจวแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงเล่าเรื่องทางเป่ยถังบ้าง
แม้หยู่เหวินเซียวจะจับตามองนโยบายการปกครองเรื่องต่างๆ ของเป่ยถังเสมอ แต่ก็ยังอยากฟังรายละเอียดอีกหน่อย ฟังเสียงของประชาชนที่พวกเขารวบรวมมา
การสนทนานี้สนทนากันจนถึงยามเย็น จู่ๆ หยู่เหวินเซียวก็นึกอะไรขึ้นได้ พลันตบโต๊ะ “ตายล่ะ”
ทุกคนสะดุ้งกับการกระทำนี้ของเขา พากันมองเขาด้วยความตื่นตระหนก โล่หมันถาม “มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หยู่เหวินเซียวไม่ตอบ แต่หันไปสั่งกับองครักษ์เงาดำทันที “กลับจวนสักครั้ง ดูว่าแม่ทัพหลี่มาที่จวนหรือไม่ ถ้ามา ก็พาเขาเข้าวังมาร่วมกินดื่มกับทุกคน”
เมื่อนั้นพวกโล่หมันจึงนึกถึงตอนที่เข้าเมืองได้เชื้อเชิญแม่ทัพหลี่ด้วยความจริงใจว่าให้มาเป็นแขกที่บ้าน องครักษ์เงาดำรีบวิ่งไปทางลานม้าทรงทันที แม่ทัพหลี่เป็นขุนศึก จะล่วงเกินไม่ได้ ต้องต้อนรับอย่างดี ต่อไปกลับมาดึกดื่นยังต้องอาศัยเขาช่วยเปิดประตู