บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 2063 บทจบของเป่ยถัง
วันเวลาที่อยู่เป่ยถังผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งพอรู้ว่าลาของแม่ทัพหลี่หายไป พวกเขายังช่วยกันออกตามหาด้วย หามันก็หาพบอยู่หรอก ทว่าลาชราภาพเกินไปแล้วจริงๆ ยังสงสัยว่าแก่จนสมองเลอะเลือนจึงไม่รู้ทางกลับ ดังนั้นทุกคนจึงระดมทุนซื้อม้าตัวหนึ่ง ในฐานะที่เป็นแม่ทัพของเป่ยถัง คู่ควรแก่การมีม้าตัวหนึ่ง
แม่ทัพหลี่จูงม้า น้ำตาไหลริน ชาตินี้เขามีดวงชะตาโชคร้าย นับจากงานเลี้ยงนั้นในวันนั้นของปีนั้นแล้ว เริ่มจากแทบผลาญเงินของเขาจนสิ้น ความโชคดีของเขาก็หลั่งไหลไม่ขาดสาย
ช่วงเวลาแห่งความเปรมปรีดิ์เกษมสันต์มักผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวพวกเขาก็เริ่มเร่งเดินทางอีกแล้ว
อำลาเป่ยถัง จิตใจหนักอึ้ง เดินทางออกไปไกลมากแล้ว ครั้นหันกลับมายังมองเห็นคนกลุ่มนั้นยืนอยู่บนหอประตูเมือง คราวนี้จี๋เอ๋อร์ไม่ได้ตามมา เขาเหมือนบุรุษที่เติบใหญ่แล้ว ยืนอยู่กับคนอื่นๆ ส่งพวกเขาด้วยสายตา
เมื่อเล่าความถึงตรงนี้ โล่หมันก็กินอิ่มแล้ว ดื่มเพียงพอแล้ว จบแต่เพียงเท่านี้
เซเว่นอัพเก็บปากกาบันทึกเสียง หากยังเล่าไม่จบอีก แบตเตอรี่ของปากกาบันทึกเสียงจะหมดแล้ว
เขาลุกขึ้นมา โค้งคำนับให้โล่หมัน มอบความเคารพสุดซึ้งของตน
หากไม่มีพวกเขา ก็ยังไม่มีเป่ยถังในวันนี้
โล่หมันยิ้มพลางตบบ่าเขาแล้วจากไป
เซเว่นอัพไม่ได้ไป แต่เรียกน้ำชามากาหนึ่ง หวนรำลึกถึงเรื่องนั้นอย่างอ้อยอิ่ง
จากนั้น เขากลับไปที่หอจัยซิงอีกครั้ง ไปถามผู้เฒ่าทั้งหลาย ถามว่าทำไมตอนนั้นพวกเขาถึงไม่แต่งงาน
ผู้เฒ่าทั้งหลายยังคงประโยคเดิม ไม่อยากแต่งงาน ไม่มีความคิดนี้ และไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน
เซเว่นอัพรู้ทัน ล้วงตั๋วเงินออกมาวางบนโต๊ะแผ่นหนึ่ง มองทุกคนที่อยู่รอบตัว “ข้าต้องการฟังความจริง”
ดวงตาในห้องพลันเป็นประกาย
องครักษ์เงาดำยื่นมือออกไปหยิบ แต่เซเว่นอัพกดตั๋วเงินเอาไว้ “อันดับแรก คำแถมแรกก็คือ ทำไมทุกครั้งที่ถามพวกท่าน พวกท่านต้องกลบเกลื่อนด้วย”
องครักษ์เงาดำตอบ “พูดน้อยไม่เปลืองแรงไง ใครไม่ขี้เกียจอธิบายบ้าง”
อีกอย่าง ใครจะคิดว่ายังมีคนใช้เงินซื้อเรื่องพวกนี้อีก หากรู้แต่แรกเขาก็เก็บงำความลับให้มากหน่อยแล้ว
เซเว่นอัพเคลื่อนมือออก “ก็ได้ งั้นพวกท่านก็ว่ามา ทำไมถึงไม่คิดเรื่องแต่งงาน”
ที่ว่าต้องใช้เงินเลี้ยงภรรยาอะไรเทือกนั้น เขาไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร
เพราะต่อให้ลำบากอย่างไร ก็ยังมีเงินเลี้ยงดูภรรยาบุตร
เรื่องนี้ องครักษ์เงาดำรับผิดชอบตอบ เหตุเพราะความคิดของทุกคนก็คล้ายคลึงกัน
องครักษ์เงาดำถามเขา “เจ้าหนู ปู่ขอถามเจ้าสักคำ ถ้าตอนนี้แคว้นมีภัย ให้เจ้าเสนอตัวอย่างกล้าหาญ หรือเสียสละ เจ้าจะยินดีหรือไม่”
“ยินดี!” เซเว่นอัพไม่ไตร่ตรองสักนิด ตอบโดยพลัน “ข้าเป็นองค์ชายของเป่ยถัง หากบ้านเมืองมีภัย ข้าก็ต้องเสนอตัวอยู่แล้ว”
องครักษ์เงาดำแทบคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบคำถามรวดเร็วปานนี้ อึ้งพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “ข้าไม่รู้ว่าการตอบคำถามนี้ของเจ้ามีความจริงกี่ส่วน บางที่เจ้าอาจยังไม่เคยเจอกับอันตรายในสนามรบ ไม่เคยเผชิญกับช่วงวิกฤตที่จะสูญเสียชีวิต แต่พวกเราเคยมาหมดแล้ว และอาจเพราะความตระหนักของพวกเราไม่ล้ำลึกกระมัง ต้องเกลี้ยกล่อมตัวเองให้สละอุทิศตนให้บ้านเมือง ต้องผ่านความปั่นป่วนในใจ”
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”
องครักษ์เงาดำเอ่ย “ในตอนนั้น ถึงพวกเราจะบอกว่าหย่าศึก ไปทำงานที่แคว้นต้าโจว แต่การคุกคามยังคงอยู่ หลายสิบปีหลังจากนั้นยังเกิดสงครามใหญ่น้อยเป็นครั้งคราว ถ้าพวกเราตัวคนเดียว พูดแล้วก็ไปเลย แต่ถ้ามีครอบครัว เรื่องที่ต้องคิดก็จะมีมาก ตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ ที่ขุนศึกกลัวที่สุดก็คือมีความคิดเพื่อตัวเองและใจอยากสร้างผลงาน เพราะนี่จะบั่นทอนความกล้าหาญของเจ้า ถ้าเจ้ารักตัวกลัวตาย ในทางกลับกันจะทำร้ายตัวเองเข้าจริงๆ จะเสียจิตใจของทหาร เสียโอกาสที่จะชนะเพราะเหตุนี้”
“นี่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น อย่างที่สอง ก็คือตอนแรกพวกเขาอยู่ที่แคว้นต้าโจว อันที่จริงชีวิตลำบากแสนเข็ญ แต่ดีที่มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียว ผลประโยชน์ตกเป็นของส่วนรวม ที่ได้มาก็เพียงใครได้กินมากหน่อยเท่านั้น แต่ถ้ามีครอบครัวล่ะ ความเห็นแก่ตัวเป็นสันดานมนุษย์ เมื่อมีใจคิดถึงผลประโยชน์ ความเห็นแก่ตัวก็จะมีมากขึ้น และพวกเราก็จะดีอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้”
“เหตุผลอย่างที่สาม นั่นก็คือชีวิตแบบนี้ ต้องลำบากพลัดพรากอยู่เสมอ เจ้าไม่สามารถทำให้แม่นางมีชีวิตสงบสุขได้ เจ้าแต่งนางเข้ามาให้นางต้องตกระกำลำบาก ไยต้องทำด้วยเล่า นอกเสียจากนางผู้นั้นเป็นเหมือนกับพี่หมัน สามารถออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกคน นอกจากการแยกกันอาบน้ำแล้วก็สามารถทำด้วยกันได้หมด ทั้งไม่เป็นตัวถ่วงของกันและกัน ทั้งสามารถช่วยกันและกัน ภรรยาแบบนี้นี่แหละถึงสามารถแต่งด้วยได้ มิเช่นนั้นจะลำบากตัวเองและทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากด้วย”
“เหตุผลอย่างที่สี่ เกี่ยวข้องกับเรื่องขาดแคลนเงินอยู่บ้างจริงๆ พวกเราลำบากจนเคยชินไม่เป็นไร คุ้นเคยเป็นเรื่องปกติ อย่างมากตอนที่ทนไม่ไหวอยากขายใครออกไปสร้างผลงาน หารายได้กลับมาสักหน่อย แต่ถ้าขายจนเคยตัวแล้วเกิดความคิดต่ำทรามขายภรรยาจะทำยังไง เรื่องนี้ ท่านอ๋องพวกเราทำมามาก พวกเราต่างดูแคลนเขา”
“ยังมีเหตุผลอย่างที่ห้า และก็คือที่พวกเราพูดกันมาตลอด พวกเราไม่มีความคิดด้านนี้จริงๆ รู้สึกว่าไม่สำคัญ หลายปีมานี้ขอเพียงไม่ใช่เรื่องสำคัญ พวกเราก็ไม่อยากทำ ถ้ามีกำลังหรือมีใจคิดเรื่องแต่งงาน ก็ไม่สู้ไปหาเงินจะดีกว่า ทุกคนต่างมีปณิธาน ใช่ว่าต้องมีผู้หญิงอยู่ข้างกายชีวิตจึงจะสมบูรณ์ พวกเราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม อยู่ด้วยกันตลอดเวลา จนตายก็ยังอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นชีวิตสมบูรณ์แบบอีกอย่างหนึ่ง เป็นความสุขที่…พวกเจ้าไม่มีทางจินตนาการได้ คือความสุขกระมัง ถึงยังไงข้าก็พูดไม่เก่ง พูดไม่เป็น”
เมื่อเซเว่นอัพฟังเขาพูดจบก็สะท้อนใจประโยคหนึ่ง เขาที่อยู่ตรงหน้าประทับใจอย่างสุดซึ้ง แต่ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดความจริง
อาจเป็นเพราะเรื่องที่เซเว่นอัพถามทำให้พวกเขานึกถึงเรื่องราวในปีนั้น ทันใดนั้นทุกคนก็นิ่งงัน
กระทั่งว่าเศร้าสร้อยเล็กน้อย
เซเว่นอัพเห็นดังนั้นก็รู้ว่าหากไม่วางเงินให้มากหน่อย จะรักษาอารมณ์เศร้าหมองนี้ไม่ได้
เขาหยิบเงินออกมาอีกก้อนหนึ่ง ทุกคนพลันยิ้มแป้น จะคิดเรื่องที่ผ่านมาแล้วทำไม ดูเงินก้อนที่อยู่ตรงหน้านี้ดีกว่าอะไรทั้งปวง